xs
xsm
sm
md
lg

Red Flags ความยั่งยืนประเทศไทย ในปี ค.ศ. 2026 / ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เครดิตภาพ : https://www.pierpoint.info/post/red-flags-for-securities-lending-and-esg
ปี ค.ศ. 2026 ที่กำลังจะมาถึง ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายด้านความยั่งยืนที่ซับซ้อนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสามปัจจัย "Red Flags" ในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) 

ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง อาจเร่งการบั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และความเชื่อมั่นในระดับประเทศและระหว่างประเทศ โดยในที่นี้ จะชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยทั้งสามและผลกระทบต่อความยั่งยืนของไทย


มิติสิ่งแวดล้อม (Environmental) ที่เกิดจากภัยพิบัติทางภูมิอากาศสุดขั้ว อันได้แก่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้เลื่อนสถานะจาก "ภัยคุกคามในอนาคต" มาเป็น "ภัยคุกคามในปัจจุบัน" สำหรับประเทศไทย แนวโน้มในปี ค.ศ. 2026 คือ การเพิ่มขึ้นของเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather Events) ที่มีความถี่และความรุนแรงสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเสียหายทางกายภาพ (Damage) และความสูญเสียทางเศรษฐกิจ (Loss)

ดังกรณีน้ำท่วมหาดใหญ่ถือเป็นบทเรียนราคาแพง ที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางกายภาพ ทั้งอาคารบ้านเรือน ร้านค้า สถานประกอบการ และทรัพย์สินมีค่า รวมทั้งความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากการหยุดชะงักทางธุรกิจ สูญเสียผลผลิต รายได้จากการท่องเที่ยว การขนส่งสินค้าสะดุด ผลกระทบต่อตลาดแรงงานที่เป็นการว่างงานชั่วคราว หรือการย้ายถิ่นฐานของแรงงานในระยะยาว ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขและการเยียวยา งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัย และระยะเวลาที่ใช้ฟื้นฟูนานหลายเดือน เป็นต้น

ความเสี่ยงที่สำคัญในปี ค.ศ. 2026 คือ การที่ประเทศไทยยังขาดระบบบริหารจัดการน้ำและระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพในระดับชาติที่สอดคล้องกับความรุนแรงของภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้น การลงทุนด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) ไม่เพียงพอ ความเปราะบางของเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจที่ติดกับชายฝั่งและพื้นที่ลุ่มยังคงสูง การละเลยการวางแผนระยะยาวด้านสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นภาระหนักอึ้งต่อความมั่นคงทางการคลังของประเทศ


มิติสังคม (Social) ที่เกิดจากจากภัยอาชญากรรมไซเบอร์และความไม่มั่นคงชายแดน โดยประเทศไทยกำลังถูกกดดันจากภัยสองขั้ว คือ ภัยคุกคามที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และภัยความมั่นคงรูปแบบดั้งเดิม โดยภัยจากมิจฉาชีพหรือสแกมเมอร์ที่ใช้เทคโนโลยี เช่น การหลอกลวงทางคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงทางออนไลน์ ได้กลายเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างความเสียหายระดับชาติ มีการแจ้งความอาชญากรรมทางไซเบอร์ในรอบหลายปี สร้างความเสียหายรวมกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยกว่า 80 ล้านบาทต่อวัน รวมถึงการขยายตัวของ "ทุนเทา" ที่เป็นกลุ่มทุนผิดกฎหมายข้ามชาติซึ่งใช้ไทยเป็นฐานหรือทางผ่านในการดำเนินการ โดยอาศัยช่องว่างและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ รวมทั้งการผสมผสานของเงินทุนผิดกฎหมายข้ามชาติกับเทคโนโลยียิ่งทำให้รูปแบบการหลอกลวงทวีความซับซ้อนขึ้น

การแพร่หลายของอาชญากรรมไซเบอร์ ทำให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นต่อระบบธนาคารทางดิจิทัล ระบบราชการ และแม้กระทั่งสื่อออนไลน์ โดยที่เหยื่อจำนวนมากเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและคนวัยทำงานที่ขาดความรู้ด้านดิจิทัล ทำให้เกิดความเครียดทางสังคม การล้มละลาย และปัญหาครอบครัวตามมา

สำหรับภัยความมั่นคงจากความไม่สงบแถบชายแดน ไทย-กัมพูชาที่ก่อตัวขึ้นระลอกใหม่ มีความเชื่อมโยงกับการขยายตัวของทุนเทาและผลประโยชน์จากธุรกิจที่ผิดกฎหมายซึ่งได้ขยายวงเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจข้ามชาติ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อความยั่งยืน ที่ไปเพิ่มต้นทุนทางทหาร และลดเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Stability) ในภูมิภาค โดยความไม่สงบหรือการปะทะย่อมส่งผลให้การค้าชายแดนและการท่องเที่ยวหยุดชะงัก ประชาชนในพื้นที่ต้องอพยพ ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและการลงทุนในพื้นที่ และหากสถานการณ์ความไม่สงบยกระดับขึ้นและทอดยาวเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดการแทรกแซงกิจการภายในจากประเทศมหาอำนาจ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์พิพาททวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น


มิติธรรมาภิบาล (Governance) ในระดับประเทศ การเมืองไทยยังคงอยู่ในวงจรของการแบ่งขั้วที่ชัดเจนระหว่างกลุ่มที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม (มักถูกจัดเป็นฝ่ายขวาในบริบทของโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม) กับกลุ่มที่มีแนวคิดเสรีนิยม (มักถูกจัดเป็นฝ่ายซ้ายในบริบทการเปลี่ยนแปลง) โดยผลกระทบที่สำคัญ คือ ความไร้เสถียรภาพและความต่อเนื่องทางนโยบาย สำทับด้วยวิกฤตที่เกิดจากการแทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งแทนที่จะใช้เป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ กลับถูกใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับขั้วอำนาจใดขั้วอำนาจหนึ่ง อันนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นต่อระบบ ประชาชนและผู้ลงทุนต่างชาติจะขาดความเชื่อมั่นต่อความโปร่งใสและความเป็นกลางของกระบวนการ และต่อระบบการเลือกตั้ง นอกจากนี้ การเผชิญหน้าทางการเมือง ยังทำให้เกิดภาวะชะงักงันในการออกกฎหมายและการปฏิรูปที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในระดับกิจการ (Corporate Governance) ประเด็นการฉ้อโกงในตลาดทุน เป็น "Red Flag" ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในวงกว้าง ทั้งการปั่นหุ้น การทำธุรกรรมอำพราง การเปิดเผยข้อมูลเท็จ การซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน การหลอกลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ตลาดทุนไทยถูกมองว่ามีความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล และการบังคับใช้กฎหมายที่ล่าช้า ผู้ลงทุนต่างชาติอาจลังเลที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องและการพัฒนาเศรษฐกิจ

การที่ผู้กระทำผิดสามารถหลบเลี่ยงหรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายได้ นับเป็นความเสี่ยงต่อความยั่งยืน ที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับกลไกของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องให้ทันต่อรูปแบบการฉ้อโกงที่ซับซ้อนมากขึ้น

ทั้งสามปัจจัย "Red Flags" ข้างต้น มิได้แยกจากกัน แต่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน (Dependencies) โดยความไม่แน่นอนทางการเมือง (Governance) ทำให้การออกกฎหมายและงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (Environmental) และการปราบปรามอาชญากรรม (Social) เป็นไปได้ยาก ขณะที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจ (Economic) จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ (Environmental) และการฉ้อโกง (Governance) จะเพิ่มความเหลื่อมล้ำและความปกติสุขของสังคม (Social)

ประเทศไทยในปี ค.ศ. 2026 จำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบและทำหน้าที่ในการดำเนินการที่เด็ดขาดและจริงจัง โดยในด้านสิ่งแวดล้อม ต้องมีการลงทุนในการบริหารจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานป้องกันภัยพิบัติในระยะยาว โดยคำนึงถึงข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ในด้านสังคม ต้องดำเนินการปราบปรามทุนเทา และอาชญากรรมไซเบอร์อย่างจริงจังด้วยการยกระดับเทคโนโลยีและการประสานงานข้ามประเทศ พร้อมเสริมสร้างความรู้ด้านดิจิทัลให้กับประชาชน ในด้านธรรมาภิบาล ต้องสร้างให้เกิดกลไกที่ทำให้องค์กรอิสระเป็นกลางและโปร่งใสอย่างแท้จริง และเสริมสร้างความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายในตลาดทุน

หากสามารถพลิกวิกฤตเหล่านี้ให้เป็นโอกาสในการปฏิรูปโครงสร้าง จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ปี ค.ศ. 2026 พร้อมกับรากฐานความยั่งยืนที่แข็งแกร่งขึ้น

บทความโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์



กำลังโหลดความคิดเห็น