xs
xsm
sm
md
lg

ไทยอันดับ 17 เสี่ยงสูงขึ้นจากสภาพอากาศสุดขั้ว คาด “โลกร้อน 2 องศาในปี 2050” ฉุดจีดีพีลง 20%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รายงาน Climate Risk Index (CRI) 2026 พบในปี 2024 ประเทศไทยเสี่ยงสูงขึ้นจากสภาพอากาศสุดขั้ว ขยับจากอันดับที่ 72 ในปี 2022 เป็นอันดับ 17 ตอกย้ำไทยต้องเร่งยกระดับการเตือนภัย พร้อมบูรณาการมาตรการรับมือแบบองค์รวม ทีดีอาร์ไอ แนะใช้บทเรียนนานาชาติประยุกต์รับมือภัยพิบัติหลัก 4 ด้าน “ทะเลสูง-แผ่นดินต่ำ น้ำท่วมแรง แห้งแล้งจัด วิบัติคลื่นร้อน”

ข้อมูลจากรายงาน Climate Risk Index (CRI) 2026 โดยองค์กร Germanwatch ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก โดยใช้ฐานข้อมูลระหว่างประเทศ ช่วงระยะเวลา 30 ปี (ค.ศ. 1995–2024) พบว่า ในปี 2024 ประเทศไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อยู่ในอันดับที่ 17 จากอันดับที่ 72 ในปี 2022 สะท้อนถึงความเปราะบางต่อเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอย่างชัดเจน ส่วนความเสี่ยงระยะยาว 30 ปี อยู่อันดับที่ 22 จากอันดับที่ 30 ในปี 2022 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงของไทยเพิ่มสูงขึ้น


  • ฝนตกหนัก -น้ำท่วมหาดใหญ่ ตอกย้ำความพร้อมรับมือ

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) กล่าวว่า ถึงแม้ไทยจะมีระดับการพัฒนาสูงกว่าประเทศรายได้ต่ำหลายประเทศ แต่ยังคงเผชิญกับความสูญเสียและความเสียหายจากสภาพอากาศรุนแรง โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หนึ่งในจังหวัดที่มีความเสี่ยงในเรื่องภัยอันตรายจากฝนตกหนัก ที่มีปริมาณฝนตกหนักสูงสุดถึง 350 มิลลิเมตรต่อวัน ถือเป็นปริมาณที่มากผิดปกติในรอบ 300 ปี ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งสาเหตุของปริมาณฝนที่ตกหนักนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูปแบบของฝนเปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดนโยบายรัฐบาลด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อ 12 เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงสูง และข้อ 13 ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050

ภายใต้กรอบดังกล่าว กรมลดโลกร้อน ได้เร่งขับเคลื่อนและบูรณาการการดำเนินงานตามแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (National Adaptation Plan : NAP) อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับนโยบายถึงระดับพื้นที่ ร่วมกับหน่วยงานหลักทั้ง 6 สาขา ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ทั้งการยกระดับระบบเตือนภัยพิบัติของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก (Global Goal on Adaptation : GGA) การบริหารจัดการน้ำทั้งในเมืองและชนบท การส่งเสริมมาตรการปรับตัวด้านสาธารณสุข เกษตร และโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนการใช้แนวทางธรรมชาติในการแก้ไขปัญหา การพัฒนาแนวทางการปรับตัวในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการพัฒนากลไกสนับสนุนการปรับตัว เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการปรับตัวในพื้นที่ การพัฒนาฐานข้อมูลความเสี่ยงและศูนย์ข้อมูลด้านการปรับตัว รวมถึงระบบการติดตามเชิงรุก การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยง

อีกทั้ง พัฒนาดัชนีความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (CRI) ที่เหมาะสมกับประเทศไทย เป็นเครื่องมือในการวางแผนนโยบายรายพื้นที่หรือระดับจังหวัด และเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย ให้กับทุกภาคส่วน ได้เข้าถึงข้อมูลดัชนีความเสี่ยงฯ เพื่อใช้ในการประเมินความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น พร้อมกับเร่งผลักดัน พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นกลไกในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสื่อสารสร้างความตระหนักรู้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศและประชาชนในการรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วที่มีความถี่และความรุนแรงที่มากขึ้นในอนาคต

รายงานดังกล่าว ระบุด้วยว่า ในช่วงปี 30 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลกมากกว่า 9,700 ครั้ง มีประชากรได้รับผลกระทบเกือบ 5.7 พันล้านคน มีผู้เสียชีวิตกว่า 832,000 คน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุการเสียชีวิตสูงที่สุดเกิดจากคลื่นความร้อนและพายุ รวม 66% ขณะที่น้ำท่วมส่งผลกระทบต่อประชากรมากที่สุด 48% ส่วนพายุสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงที่สุด 58% หรือราว 2.64 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับปี 2024 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ เกรนาดา ชาด ปาปัวนิวกินี ไนเจอร์ เนปาล ฟิลิปปินส์ มาลาวี เมียนมา และเวียดนาม ขณะที่ความเสี่ยงระยะยาว 30 ปี ประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ได้แก่ โดมินิกา เมียนมา และฮอนดูรัส ซึ่งกลุ่มประเทศดังกล่าว มีความสามารถในการปรับตัวต่ำกว่าประเทศอื่น

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เตือนว่าขณะนี้สภาพอากาศรุนแรงทั่วโลกกำลังส่งสัญญาณต่อประเทศที่มีความเปราะบางอย่างประเทศไทย รวมถึงอุณหภูมิที่สูงผิดปกติในยุโรป จีน ญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาว อากาศหนาว และร้อนภายในวันเดียว อเมริกาพายุหิมะถล่มมลรัฐตอนกลาง และตะวันออก ปริมาณฝนตกหนักในฝั่งตะวันตกจากแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ ภัยแล้ง และน้ำท่วมที่โหดร้ายกับประเทศอาร์เจนตินา ปากีสถาน รวมถึงประเทศไทย

ภาวะโลกร้อนส่งผลให้สภาพอากาศของประเทศไทยแปรปรวนและรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดภัยพิบัติทั้งภัยแล้ง น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำท่วมขังได้บ่อยและรุนแรงขึ้น ซึ่งนอกจากพายุและฝนที่หนักขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยจากการจัดการผังเมืองและระบบระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและเศรษฐกิจในระยะยาว


• ทีดีอาร์ไอ แนะใช้บทเรียนแก้ปัญหาภัยพิบัติของนานาชาติ

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยข้อมูลจาก Swiss Re Institute ที่คาดการณ์ว่า ไทยอาจได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับที่สูง เช่น หากอุณหภูมิของปี 2050 สูงขึ้น 2 องศา เมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ประเทศไทยก็จะมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลดลงประมาณร้อยละ 20 ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่าหลายประเทศ โดยภาคเกษตรของไทยจะสูญเสียผลผลิตสูงสุดเป็นอันดับ 3 จากจำนวน 48 ประเทศที่มีการศึกษา ในขณะที่แรงงานไทยเสี่ยงที่จะสูญเสียผลิตภาพสูงสุดอันดับที่ 1 จาก 48 ประเทศ ส่วนภาคท่องเที่ยวก็เสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้อันดับที่ 1 จาก 48 ประเทศเช่นเดียวกัน (Swiss Re Institute, 2021)

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังสามารถเรียนรู้แนวทางในการปรับตัวจากประเทศต่างๆ ที่ได้ปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยนำบทเรียนดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยในการรับมือกับภัยพิบัติหลัก 4 ประการ คือ “ทะเลสูง-แผ่นดินต่ำ น้ำท่วมแรง แห้งแล้งจัด วิบัติคลื่นร้อน” (ดูภาพอินโฟกราฟฟิก)

-การจัดการปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและน้ำทะเลมีระดับสูงขึ้น ประเทศหนึ่งที่เป็นต้นแบบที่ดีคือ “เนเธอร์แลนด์” ซึ่งเป็นประเทศที่มีพื้นที่หลายแห่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แต่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการสร้างประตูกั้นน้ำและกำแพงป้องกันคลื่น โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านลบมาก ทั้งนี้จากการเปิดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็นต่อโครงการ

-การจัดการปัญหาน้ำท่วม ประเทศหนึ่งที่เป็นต้นแบบที่ดีคือ “ญี่ปุ่น” ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง โดยในช่วงหลังเมืองใหญ่ ๆ ของญี่ปุ่นหลายแห่งได้พัฒนาระบบ “คู่แฝดดิจิทัล” (digital twin) ของเมือง ซึ่งหมายถึงโมเดลเสมือนจริงของของเมืองที่ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่ส่งมาจากเซนเซอร์ที่ติดอยู่ในเมือง เพื่อจำลองเหตุการณ์ต่างๆ ในเมืองกรณีเกิดภัยพิบัติ ทำให้สามารถเตรียมการรับมือได้ล่วงหน้า

-การจัดการปัญหาความแห้งแล้ง ประเทศหนึ่งที่เป็นต้นแบบที่ดีคือ “อิสราเอล” ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณทะเลทราย อิสราเอลสามารถพัฒนาระบบน้ำ โดยการวางโครงสร้างพื้นฐานในรูปของเครือข่ายท่อน้ำขนาดใหญ่ การคิดราคาค่าน้ำและการรณรงค์ให้ประหยัดน้ำ และพัฒนาพันธุ์พืชที่สามารถทนแล้ง ทำให้ในปัจจุบันอิสราเอลสามารถผลิตสินค้าเกษตรส่งออกได้ (Siegel, 2017)

-การจัดการปัญหาความร้อน “สิงคโปร์” ซึ่งเป็นประเทศใกล้กับเส้นศูนย์สูตรสามารถแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิผล โดยการลดอุณหภูมิของเมืองจากการปลูกต้นไม้จำนวนมาก ปรับอาคารให้ถ่ายเทลม จำกัดการใช้รถยนต์และปรับเวลาการใช้ชีวิตไปในช่วงกลางคืนทำให้มีอุณหภูมิต่ำลง


กำลังโหลดความคิดเห็น