xs
xsm
sm
md
lg

SCG ฉายภาพกลยุทธ์ความยั่งยืน "Green must also be Growth" บนเวที Forbes Global CEO Conference 2025

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และประธานคณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน “เอสซีจี”
นับวันแนวคิด ESG ซึ่งเป็นเทรนด์ระดับโลก กำลังเปลี่ยนแนวจากที่เน้นอุดมคติเพียงด้านเดียวขยายมาสู่การสร้างผลลัพธ์ยั่งยืนที่สามารถวัดและขยายผลได้ ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่ยังคงรุนแรงไม่รู้จบ

ความท้าทายของการขับเคลื่อน ESG อยู่ที่การหาจุดสมดุล ระหว่างการเติบโตของธุรกิจ
ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนให้สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากขาดความสมดุล ก็ยากไปต่อได้

ที่ผ่านมา “SCG” ก็เล็งเห็นความท้าทายเหล่านี้ จึงได้เรียนรู้ ปรับตัว และต่อยอด จนตกผลึกแนวคิด
“Inclusive Green Growth” พยายามทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การทำดีต่อโลก
ต้องเปิดทางให้ธุรกิจแข่งขันได้ด้วย


เวที Forbes Global CEO Conference 2025 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย SCG จึงเป็นหนึ่งในธุรกิจแถวหน้า ที่ไปร่วมแบ่งปันแนวคิด “Green mustalso be Growth” ภายใต้หัวข้อ Sustainable Philanthropy
(การให้ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างคุณค่าแลเติบโตยั่งยืน)

Forbes Global CEO Conference เป็นงานประชุมผู้นำระดับโลกที่จัดขึ้นโดย Forbes Media
สื่อธุรกิจชั้นนำระดับโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวคิดเชิงกลยุทธ์ในประเด็นสำคัญของโลกธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน นวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำทั่วโลกเข้าร่วม เพื่อร่วมกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจและธุรกิจในอนาคต


๐ SCG “Inclusive Green Growth”

“ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และประธานคณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน “เอสซีจี” มองความท้าทายของการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่ว่า กลยุทธ์การเติบโตระยะยาว เพื่อไปให้ถึงความยั่งยืน ต้องมองครบ Value Chain ทั้งบริบททางด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี นวัตกรรม และความสามารถในการแข่งขัน

“Inclusive Green Growth” คือการทำธุรกิจที่มองไกลสุดขอบฟ้า ไม่จดจ่อแค่ปัจจุบัน
แต่คำนึงถึงคนรุ่นถัดไป และเพิ่มความเขียวให้กับโลกอนาคต ไม่จมจ่ออยู่กับฝุ่นควัน พร้อมกับการเติบโตทางธุรกิจ และการสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง

“หลายปีมานี้ ธุรกิจปูนซีเมนต์ของ SCG พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของตลาด และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในกลุ่มสินค้า Low-Carbon Cement ซึ่งได้รับผลตอบรับดีเกินคาดจากตลาด สะท้อนแนวคิดว่า Green must also be Growth ได้จริง” CEO SCG กล่าว

SCG เป็นผู้นำธุรกิจซีเมนต์ ในภาคอุตสาหกรรมหนัก ที่ดำเนินกิจการมานานกว่า 112 ปี
อยู่ในภาคธุรกิจที่มีความท้าทายด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง การวางวิสัยทัศน์ระยะยาว 20-30 ปี จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่จะ fine tune ธรรมชาติ ให้กลับมาอยู่ใกล้จุดสมดุล และธุรกิจยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน


๐ AI กับธุรกิจโลกยุคใหม่

เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตของผู้คน และการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ ทุกวันนี้ AI
ระดับศูนย์ข้อมูล (Data center-level AI) กำลังแทรกซึมเข้าหาโน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน อีกไม่นานจะถึงยุคที่หุ่นยนต์ กลายเป็นเพื่อนสนิทกับผู้คนและธุรกิจ หลายคนเริ่มยอมรับ ChatGPT เป็นเพื่อน บางคนคุยกับ ChatGPT มากกว่าคุยกับคนในครอบครัวเสียอีก

AI เข้าไปมีส่วนร่วมทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่การทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน SCG ใช้ AI และเทคโนโลยี เป็นเครื่องมือหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของความยั่งยืน โดยเฉพาะ AI กลุ่ม Robotics และ Deep Tech ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนความยั่งยืนให้องค์กร

“AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้สินค้ามีคุณภาพดีขึ้น ต้นทุนถูกลง ราคาแข่งขันกับตลาดได้และลดคาร์บอนรวมทั้งระบบ” ธรรมศักดิ์กล่าว

SCG ใช้ AI ในการวิเคราะห์ และออกแบบกระบวนการ เช่น การจัดการชีวมวล (Biomass Collection Route) การพัฒนาปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ รุ่นที่ 3 ( Low-Carbon Cement Generation 3 ) รวมถึงพัฒนา platform ให้บรรดาคู่ค้าของ SCG สามารถเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีเดียวกัน เพื่อสร้าง Impact Chain ซึ่งช่วยเสริมสร้างการเติบโตและผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

ขณะเดียวกัน เมื่อกติกาการค้าโลกขยันเพิ่มแรงกดดัน ทำให้เงื่อนไขการค้าใหม่ๆ อย่าง Carbon Tariff หรือภาษีคาร์บอน (ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เพื่อให้ผู้ปล่อยก๊าซมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้ลดการปล่อย)

รวมถึง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism กลไกการปรับขอบเขตคาร์บอน
ของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นมาตรการกำหนดราคาคาร์บอน สำหรับสินค้านำเข้าบางประเภท
โดยจะคิดจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต)

ล้วนแล้วแต่เป็นโอกาสและอุปสรรค ให้ธุรกิจใหญ่น้อยไม่สามารถนิ่งเฉยต่อไปได้ การนำ AI และความสามารถทางเทคโนโลยี มาสร้าง Green and Growth จึงเป็นกุญแจสำคัญ ช่วยปลดล็อกธุรกิจให้ไปต่อได้


๐ ปรับปรุงกระบวนการผลิต

หลายปีมานี้ SCG ทำทุกวิถีทางเพื่อให้การลดคาร์บอน (Decarbonization Strategy) เป็นเรื่องง่ายแค่ปากซอย โดยปรับปรุงกระบวนการผลิตหลักๆ คือ

1. การใช้ชีวมวลแทนถ่านหิน (Biomass Replacement) : เปลี่ยนมาใช้ชีวมวลเป็นพลังงานแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ลดการใช้ถ่านหิน ช่วยลดต้นทุน และลดคาร์บอนไปพร้อมกัน

2. เทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Technologies) :
จากการพัฒนาปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ รุ่นที่ 3
( Low-Carbon Cement Generation 3 ) ที่ลดอุณหภูมิกระบวนการผลิต ทำให้สามารถใช้พลังงานน้อยลง ขณะเดียวกันก็ปล่อยคาร์บอนลดน้อยลง

3. การใช้ AI & Robotics :
ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ลดของเสีย และผลักดันให้เป็นระบบอัตโนมัติในอนาคตอันใกล้นี้


๐ SCG “Inclusive Green Transition”

SCG อยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมหนักสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ คือสภาวะที่ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาเท่ากับปริมาณที่ถูกกำจัด หรือดูดกลับออกจากชั้นบรรยากาศ) จากการมุ่งขับเคลื่อน Inclusive Green Transition โดยยังคงสร้างกำไร สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้ธุรกิจ ไปพร้อมกับการสร้างความยั่งยืนให้สังคมและสิ่งแวดล้อม

“SCG ยึดมั่นในหลักการ ‘ทำกำไรควบคู่กับความรับผิดชอบ’ (Make Profit with Purpose)
คนของเราถูกปลูกฝังให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็น 1 ใน 4 อุดมการณ์ที่ SCG ยึดถือมาตลอด” ธรรมศักดิ์มองรากฐานธุรกิจ ที่ค้ำยันให้องค์กรเติบโตจนถึงทุกวันนี้

อุดมการณ์ 4 หัวใจหลักของ SCG’s DNA ประกอบด้วย

1. Adherence to Fairness – ยึดมั่นความถูกต้องเป็นธรรม, ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส,
ปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม และตัดสินใจโดยยึดหลักจริยธรรมและความรับผิดชอบ

2. Dedication to Excellence –มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ, แสวงหาความรู้ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง,
ตั้งมาตรฐานสูงในทุกสิ่งที่ทำ และใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า

3. Belief in the Value of the Individual – เชื่อมั่นในคุณค่าของคน, เคารพในศักดิ์ศรีและศักยภาพของแต่ละบุคคล, เปิดโอกาสให้พนักงานเติบโต และสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ร่วมมือและสนับสนุนกัน

4. Concern for Social Responsibility – ห่วงใยต่อสังคม, คำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม, สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน และแบ่งปันคุณค่ากลับคืนสู่สังคม

CEO SCG กล่าวว่า เส้นทางสู่ Net Zero เป็น Journey ระยะยาว ที่ต้องอาศัยทั้งความต่อเนื่อง และการออกแบบแผนอย่างเป็นระบบ เป้าหมายต้องชัด และมีระบบติดตามผล เช่น ทบทวนความคืบหน้าทุก 6 เดือน ขณะเดียวกันการลดคาร์บอนไม่ใช่แค่โครงการ แต่เป็นภารกิจที่ต้องสานต่อจากรุ่นสู่รุ่น และพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นในทุกวัน

“การเปลี่ยนผ่านธุรกิจสีเขียว ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นระบบนิเวศของการเติบโตระยะยาว โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะทุกปัจจัยต้องเอามาผนวกรวมกัน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน แข่งขันได้ในตลาดโลก และส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นถัดไป” เขากล่าวย้ำ


๐ Saraburi Sandbox

ปัจจุบันนี้ SCG มีบทบาทสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางบวกที่ยั่งยืน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค โดยเข้าไปสนับสนุนให้สังคมและคู่ค้าร่วมเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน

ล่าสุด SCG เพิ่งเปิดตัว Saraburi Sandbox ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย
เมื่อกลางปี 2568 ที่ผ่านมา เพื่อผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050
จากการสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาสังคม ในลักษณะการทำงานแบบ PPP (Public- Private-People Partnerships) ประกอบด้วย สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย
สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี และจังหวัดสระบุรี รวมถึง บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กร และเครือข่ายพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เพื่อปักธงให้สระบุรีเปลี่ยนผ่านไปสู่ Low Carbon City ใน 5 มิติ ได้แก่ 1. เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยั่งยืน 2. ผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียวและผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3.
การจัดการของเสียให้เกิดมูลค่า 4. ส่งเสริมเกษตรคาร์บอนต่ำ และ 5. เพิ่มพื้นที่สีเขียว

นอกจากนี้ ยังสร้างความร่วมมือกับประเทศอินโดนีเซีย ขับเคลื่อน Green Transition สู่ระดับภูมิภาค เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทุกประเทศที่ SCG เข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามหลักการ “Make Profit with Purpose” หรือแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่ไม่มุ่งแค่สร้างกำไร (Profit) เท่านั้น แต่ต้องสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม (Purpose) ไปพร้อมกัน

เป็นการทำธุรกิจอย่าง “มีคุณค่า” และ “มีจุดมุ่งหมาย” ในทุกวันที่ตื่นมาทำงาน


กำลังโหลดความคิดเห็น