xs
xsm
sm
md
lg

“ทะเลหลวง” ตัวเร่งโลกรวน ! เขตคุ้มครองเข้ม ยังไกลเป้าร้อยละ 0.9

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรีนพีซ สากล ส่องสนธิสัญญาทะเลหลวง ก้าวทันตามเป้าหมายคุ้มครองทะเลหลวงให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2030 หรือไม่ ? เมื่อเตรียมเริ่มบังคับ 17 ม.ค. ปีหน้า จี้รัฐบาลลงนามให้สัตยาบัน เร่งวางแผนสร้างเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลและมหาสมุทรทันที เพราะมีเวลาเหลือน้อยเต็มทีในการปกป้องมหาสมุทรอย่างน้อย 30%

นับเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ในที่สุด ทั้ง 61 ประเทศทั่วโลกก็ลงนามให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาทะเลหลวง หรือ ‘ข้อตกลงสนธิสัญญาที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลในพื้นที่ที่อยู่นอกเขตอำนาจรัฐ (BBNJ) เปิดทางให้ข้อตกลงครั้งประวัติศาตร์นี้มีผลบังคับใช้ โดยเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 โมร็อกโก และ เซียร์ราลีโอน เป็นประเทศที่ 60 และ 61 ที่ลงนามให้สัตยาบัน (มี 136 ประเทศลงนามแล้ว (รวมประเทศไทย) และมี 61 ประเทศที่ได้ให้สัตยาบันแล้ว)

การตัดสินใจที่กล้าหาญอย่างรับผิดชอบของ โมร็อกโก และ เซียร์ราลีโอน ที่เกิดขึ้นล่าสุด จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้การรอคอยอย่างนานขยับไปต่อได้ด้วยความหวัง เนื่องจากทำให้สนธิสัญญาทะเลหลวงมีประเทศที่ให้สัตยาบันครบอย่างน้อย 60 ประเทศ และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2569 อย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม การให้คำมั่นครั้งนี้จะมีความหมายได้จริง ก็ต่อเมื่อทุกประเทศเร่งลงมือปฎิบัติต่อแผนการปกป้องมหาสมุทรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะช่วงก่อน “การประชุมรัฐภาคีสนธิสัญญาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลเกี่ยวกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่นอกเขตอำนาจรัฐ (BBNJ)” หรือ Ocean Conference of Parties :Ocean COP) ครั้งแรกของโลก


•สถานการณ์ทะเลหลวงน่าห่วง
ปัจจุบัน ทะเลหลวง (High Seas) ที่ได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวดมีเพียงแค่ร้อยละ 0.9 เท่านั้น สนธิสัญญาฉบับนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขยายพื้นที่คุ้มครอง และการจัดตั้งเขตคุ้มครองนิเวศทางทะเลจึงมีบทบาทสำคัญอย่างมาก เพื่อต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้คนนับพันล้านชีวิต ที่พึ่งพาทรัพยากรจากท้องทะเลและมหาสมุทร

การวิเคราะห์ล่าสุดโดยกรีนพีซ สากล เผย หากรัฐบาลทั่วโลกต้องการบรรลุเป้าหมายการคุ้มครองทะเลหลวงให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2573 รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ จะต้องคุ้มครองพื้นที่มากกว่า 12 ล้านตารางกิโลเมตรในแต่ละปี ตลอด 5 ปีข้างหน้า ซึ่งมีขนาดใหญ่มากกว่าประเทศแคนาดา

แมดซ์ คริสเตนเซน ผู้อำนวยการบริหาร กรีนพีซ สากล กล่าวว่า “นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญในการปกป้องมหาสมุทรโลก และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าประเทศต่าง ๆ สามารถร่วมมือกันเพื่อปกป้องโลกของเราได้ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่อาจชะล่าใจ เพราะนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า เราจะต้องปกป้องทะเลและมหาสมุทรให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของพื้นที่ทะเลและมหาสมุทรทั้งหมด ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) และเวลาของเราก็น้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว รัฐบาลทั่วโลกจะต้องเร่งมืออย่างเต็มที่ เพื่อให้มั่นใจว่า การประชุม COP มหาสมุทรครั้งแรกในประวัติศาตร์นี้ จะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะนำมาซึ่งการพัฒนาแผนสร้างเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลแห่งแรกภายใต้สนธิสัญญาทะเลหลวงนี้ เราไม่สามารถรีรอได้อีกต่อไป”

ทั้งนี้ นักรณรงค์ยังเตือนว่า แต่ละประเทศ ต้องเร่งดำเนินการ โดยการวางแผนสร้างเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลและมหาสมุทรทันที เนื่องจากเวลาใกล้หมดแล้วในการปกป้องมหาสมุทรโลกอย่างน้อยร้อยละ 30 ภายในปี 2030 ตามเป้าหมายที่ตกลงกันไว้ เพื่อต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้คนนับพันล้านชีวิต ที่พึ่งพาทรัพยากรจากท้องทะเลและมหาสมุทร


•กรีนพีซ ดันมาตรการระงับการทำเหมืองทะเลลึก
ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าก่อนการประชุม COP มหาสมุทร รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ เพื่อเริ่มวางแผนพัฒนาพื้นที่เขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลใหม่ พื้นที่เหล่านี้ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่กว้างใหญ่ของมหาสมุทรจะถูกปกป้องจากกิจกรรมของมนุษย์ที่แสวงหาผลประโยชน์และสร้างความเสียหาย ซึ่งจะต่างออกไปจากพื้นที่คุ้มครองทางทะเลหลายพื้นที่ในปัจจุบัน ที่ยังเป็นเพียงการคุ้มครองในนามเท่านั้น

รัฐบาลต้องทำให้มั่นใจว่าสนธิสัญญานี้มีอำนาจเพียงพอที่จะดำเนินมาตรการได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ถูกฉุดรั้งด้วยความล่าช้า หรือจำเป็นต้องพึ่งพาองค์กรต่าง ๆ เช่น องค์กรบริหารจัดการประมงระดับภูมิภาค (Regional Fisheries Management Organisations – RFMOs) ซึ่งได้มีบทบาทในการทำให้ทรัพยากรทะเลลดลงมาตลอดหลายทศวรรษ

รัฐบาลจะต้องทำให้การพัฒนาเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลตั้งอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือและเปิดโอกาสให้ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์และชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อให้กระบวนการนี้ขับเคลื่อนไปด้วยวิทยาศาสตร์และความเป็นธรรมทางสังคม

สนธิสัญญาทะเลหลวงจะมีผลบังคับใช้ภายใน 120 วัน เปิดทางสู่การประชุม COP มหาสมุทรครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ กรีนพีซยังคงเรียกร้องให้ประเทศที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบันเร่งดำเนินการโดยเร็วและต้องเสร็จก่อนการประชุม เพราะหากไม่ทำ ประเทศเหล่านั้นจะไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมโต๊ะเจรจา

กรีนพีซและผู้สนับสนุนนับล้านคนกำลังเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ แสดงเจตจำนงค์ที่มุ่งมั่นในระดับเดียวกันกับตอนที่ร่วมกันผลักดันสนธิสัญญาทะเลหลวง ด้วยการเข้าร่วมมาตรการ ระงับการทำเหมืองทะเลลึก (moratorium on deep sea mining) ซึ่งเป็นรูปแบบการทำเหมืองทำลายล้างแที่อาจสร้างความเสียหายต่อท้องทะเลและมหาสมุทรจนไม่อาจฟื้นฟูได้

ทั้งนี้สนธิสัญญาฉบับนี้ผ่านการบรรลุในเวทีระหว่างประเทศมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 และในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ตัวแทนรัฐบาลจาก 87 ประเทศ ได้ลงชื่อรับรองอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อมีประเทศอย่างน้อย 60 ประเทศให้สัตยาบัน ซึ่งในช่วงปีแรกนับว่าน่าเป็นน่าเป็นห่วงเพราะมีประเทศที่ให้สัตยาบันเพียง 2 ประเทศ คือ ชิลี และ ปาเลา จนต้องรอถึงปีที่สองจึงมีประเทศอย่างน้อยอีก 57 ประเทศเข้าร่วมให้สัตยาบัน

การตัดสินใจที่กล้าหาญอย่างรับผิดชอบของ โมร็อกโก และ เซียร์ราลีโอน ที่เกิดขึ้นล่าสุด จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้การรอคอยอย่างนานขยับไปต่อได้ด้วยความหวัง เนื่องจากทำให้สนธิสัญญาทะเลหลวงมีประเทศที่ให้สัตยาบันครบอย่างน้อย 60 ประเทศ และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2569 อย่างเป็นทางการ


เลขายูเอ็น ย้ำสนธิสัญญาต้องลงมือทำจริง

António Guterres เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แสดงความยินดีกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นครั้งนี้โดยเรียกว่าเป็น “ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่สำหรับมหาสมุทรและความร่วมมือพหุภาคี” พร้อมทั้งระบุด้วยว่า “ในปีที่สองนี้ ประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนการสัญญาให้เป็นการลงมือทำ สะท้อนว่าถึงความเป็นไปได้เมื่อประเทศทั้งหลายร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” และเรียกร้องให้ประเทศที่เหลือเข้าร่วมให้สัตยาบันโดยเน้นย้ำว่า “สุขภาพมหาสมุทรคือสุขภาพของมนุษยชาติ”

ด้าน Inger Andersen ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme: UNEP) โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียว่า “มหาสมุทรของเราคือรากฐานสำคัญแก่การดำรงชีวิตของเรา วันนี้เราได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องมหาสมุทรและปกป้องอนาคตของเรา”

หลังจากที่สนธิสัญญาบังคับใช้ในวันที่ 17 มกราคม 2569 ประเทศต่าง ๆ จะต้องร่วมมือกันต่อเนื่องในการวางกรอบงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศ รวมถึงสร้างพื้นที่คุ้มครองทางทะเลให้ได้ตามเป้าหมาย นั่นคือ 30% ของทะเลทั้งหมด ตามกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Gobal Biodiversity Framework)


กำลังโหลดความคิดเห็น