กรีนพีซ ประเทศไทย ชี้ตัวเร่งวิกฤตโลกร้อนจากมนุษย์ ไม่ใช่ความบังเอิญ ย้ำต้องแก้ที่ต้นเหตุหลัก “บรรษัทยักษ์ฟอสซิลสร้าง แต่ประชาชนต้องแบกรับ” จัดนิทรรศการสร้างองค์ความรู้ ‘โลกร้อนไม่เท่าเทียม กระทบคนไม่เท่ากัน : 1% ก่อ 99% เจ็บ’ ดันรัฐเร่งสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ โดยใช้หลักการผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ
เทศกาล Bangkok Climate Action Week เมื่อวันที่ 28 กันยายน-4 ตุลาคมที่ผ่านมา สะท้อนความจริงว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการกระทำของบรรษัทฟอสซิลยักษ์ใหญ่ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล ขณะที่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ต้องเป็นฝ่ายรับเคราะห์หนักที่สุด
ฐานข้อมูล Carbon Majors ชี้ให้เห็นว่าเพียง 122 บริษัทฟอสซิล สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 70% ของโลกแต่ผลกระทบ กลับตกอยู่กับคน 99% ที่เหลือ โดยเฉพาะเด็ก ผู้หญิง คนจนเมือง ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ผู้พิการ และ LGBTIQ+ ที่มักถูกละเลยจากการตัดสินใจด้านนโยบายและถูกจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรอย่างไม่เท่าเทียม
• กรีนพีซ ดันรัฐบาลเร่งแก้ที่ต้นเหตุ
วิริยา กิ่งวัชระพงศ์ ผู้แทนประจำกรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า “เทศกาลนี้กรีนพีซ สร้างพื้นที่เปิดให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสะท้อนความจริงจากวิกฤตโลกร้อนที่ไม่เท่าเทียม เราขอยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในการทวงคืนความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ พร้อมเรียกร้องให้อุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ที่สร้างวิกฤตต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริง เพราะต้นเหตุของปัญหาคือผู้ก่อมลพิษ และผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย”
เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำที่มีความทะเยอทะยานในการตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ที่ตั้งเป้าเร็วขึ้นถึง 15 ปี จากปี 2065 (พ.ศ. 2608) เป็น 2050 (พ.ศ. 2593) แต่หากประเทศไทยยังเดินหน้าใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และกลไกชดเชยคาร์บอนที่เสี่ยงต่อการฟอกเขียวให้บรรษัทฟอสซิลยักษ์ใหญ่ เป้าหมายเหล่านี้ก็จะไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง รายงาน BloombergNEF [2] ยังระบุชัดว่า ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์และลมได้ลดต่ำกว่าก๊าซฟอสซิลแล้วในหลายภูมิภาค แต่ไทยกลับยังเดินหน้าแผนลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลและโครงสร้างพื้นฐานที่ผูกมัดประเทศกับพลังงานฟอสซิลระยะยาว ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศและความไม่เป็นธรรมทางสังคม
มนูญ วงษ์มะเซาะห์ นักสื่อสารงานรณรงค์ด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่สะอาดและเป็นธรรม กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวถึง การกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของไทย ว่าจำเป็นต้องยึดหลักการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและออกจากกรอบของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยต้องเน้นที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากต้นทางอย่างแท้จริง ไม่ใช่การออกร่างกฎหมายหรือมาตรการที่เสี่ยงต่อการฟอกเขียว แต่ปล่อยให้บรรษัทฟอสซิลยังคงผลิตและปล่อยก๊าซต่อไปได้ เช่น การพึ่งพาตลาดคาร์บอนเครดิตหรือเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างแทนการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะที่ข้อมูลจาก BloombergNEF ชี้ชัดแล้วว่าพลังงานหมุนเวียนมีต้นทุนต่ำกว่าก๊าซฟอสซิล รัฐบาลไทยจึงควรเร่งกำหนดนโยบายที่บังคับให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ และเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เป็นธรรม เพื่อปกป้องสิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัยของประชาชน”
• ทำไม ! 1% ก่อ 99% เจ็บ
โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและซับซ้อนขึ้นทุกวัน แต่ผลกระทบไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน กลุ่มคนเพียง 1% จากบรรษัทยักษ์ใหญ่ฟอสซิลเป็นผู้ก่อมลพิษ แต่คนอีก 99% ต้องรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งคลื่นความร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วมฉับพลัน พายุ มลพิษทางอากาศ
นำมาสู่การสูญเสียทรัพย์สิน ชีวิต และอาจต้องอพยพออกจากบ้านเกิด วิกฤตนี้เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิในการมีชีวิตอย่างปลอดภัย ทั้งการเข้าถึงอาหาร น้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ และความมั่นคงของการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือ เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบท ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ เด็ก เยาวชน ผู้หญิง และผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพราะแทบไม่มีส่วนหรือมีส่วนน้อยในการก่อโลกเดือด แต่กลับต้องเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตอย่างไม่เป็นธรรมจากนโยบาย
ผลกระทบรุนแรงจากโลกร้อนและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลลัพธ์คือถูกซ้ำเติมด้วยความเหลื่อมล้ำ ผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียโอกาสในการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี
หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้นเร่งให้โลกยิ่งร้อนเร็วกว่าเดิม นำมาสู่วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นที่พวกเราคนทั่วไปต้องเผชิญ เราจะเห็นได้ชัดว่าปัจจุบันนี้ภัยพิบัติทางธรรมชาติจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather Event) กำลังทวีความรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งขึ้นเรื่อย ๆ แต่หากเราวิเคราห์เจาะลึกลงไปจะพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลคือกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังวิกฤตโลกเดือด และเพียง 1 % ของพวกเขากำลังทำให้ผู้คนทั้งโลกอีก 99% ได้รับผลกระทบซึ่งร้ายแรงถึงชีวิต
กลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ หรือเพียง 1% ของบริษัท Carbon Majors เป็นต้นเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ขณะที่ 99% ของผู้คนต้องรับผลกระทบรุนแรงถึงชีวิต
ในรายงาน Carbon major ที่เผยแพร่ในปี 2566 ชี้ว่าเพียง 122 บริษัทใหญ่ หรือ Carbon Majors ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกว่า 1,421 กิกะตัน CO₂ เทียบเท่า ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 70 ของการปล่อยก๊าซจากอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ทั่วโลก งานวิจัยล่าสุดยังชี้ว่า Carbon Majors เหล่านี้มีส่วนเชื่อมโยงโดยตรงกับเหตุการณ์คลื่นความร้อน (heat waves) และภัยพิบัติสภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก
คนทั้งโลกกำลังเดือดร้อนเพราะใคร
เพียงไม่กี่ประเทศก่อมลพิษมากกว่าครึ่งโลก ในขณะที่ทุกคนต้องเผชิญผลกระทบร่วมกัน ข้อมูลจาก ฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อการวิจัยด้านบรรยากาศโลก (Emissions Database for Global Atmospheric Research: EDGAR) แสดงให้เห็นว่า จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหภาพยุโรป เป็น 4 อันดับแรกของโลกที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด รวมกันคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยทั่วโลก
แม้สถานการณ์จะดูน่าหวาดกลัว แต่เรายังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางของโลกได้ การหยุดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและเร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม เช่น แสงอาทิตย์ ลม เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและจริงจัง พร้อมทั้งสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ โดยใช้หลักการผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ (Polluter Pays Principle : PPP) และช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ การสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเป็นธรรมจะเป็นรากฐานสำคัญในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้