xs
xsm
sm
md
lg

ก.ม. PRTR ผ่านก้าวแรก ! บังคับ “เปิดข้อมูลมลพิษต่อสาธารณะ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คลอดกฎหมาย PRTR เอ็นจีโอเดินหน้าปิดเกมผู้ปล่อยมลพิษจากการไม่มีฐานข้อมูลมลพิษที่โปร่งใส หลังสภาฯลงมติผ่านวาระแรก ผู้ปล่อยมลพิษต้องรายงาน เปิดเผยข้อมูลการปล่อย-การเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมให้เหมือนอารยประเทศ ขั้นต่อไป จับตาสาระสำคัญ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะต้องไม่หาย

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 68 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับร่างกฎหมาย Pollutant Release and Transfer Register (PRTR) หรือร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ. .... ในวาระที่หนึ่ง โดยมีผู้เสนอคือ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 12,165 รายชื่อ


เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ผู้เสนอร่างกฎหมาย PRTR บอกว่าเป็นอีกวันประวัติศาสตร์ และถือเป็นก้าวที่สำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการที่กฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ยังคงต้องก้าวเดินอีกหลายก้าว ขั้นตอนต่อจากนี้จะเป็นเรื่องของการพิจารณาเนื้อหาสาระของกฏหมาย ซึ่งได้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 39 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 15 วัน โดยใช้ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยพรรคการเมือง เป็นร่างฯ หลักในการพิจารณาวาระที่สองต่อไป ส่วนร่างฯ ที่ถูกเสนอโดยภาคประชาชน จะถูกนำมาพิจารณาร่วม เนื่องจากมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน

“หลังจากนี้ตนเองและเครือข่ายองค์กรสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กรีนพีซและมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม จะทำงานต่อในชั้นกรรมาธิการ เพื่อให้กฎหมายนี้ยังคงรักษาสาระสำคัญในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
โดยสาระสำคัญตรงนี้ต้องไม่หายไปในชั้นการแปรญัตติ และเรื่องของการส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลต้องโปร่งใสทั้งหมด จะเป็นหลักการของกฎหมาย PRTR”


• ทุกภาคส่วนเข้าถึง “ข้อมูลกลางปล่อยมลพิษ”

การไม่มีฐานข้อมูลมลพิษที่โปร่งใสทำให้ประเทศไทยแก้ปัญหามลพิษ อย่างเช่นมลพิษทางอากาศแบบ “ตาบอดคลำช้าง” และเป็นสาเหตุให้มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับกรีนพีซและมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มีความมุ่งมั่นผลักดันให้มี พ.ร.บ. การรายงานและเปิดเผยสารมลพิษ (PRTR) มากว่า 20 ปี

ร่างกฎหมายฉบับประชาชนนี้มุ่งให้โรงงานอุตสาหกรรมและแหล่งกำเนิดมลพิษอื่นๆ รายงานข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษเพื่อให้มีฐานข้อมูลเรื่องมลพิษของประเทศและมีการเปิดเผยต่อสาธารณะผ่านทางออนไลน์ เพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนเข้าถึงและใช้ข้อมูลนี้ในการเรียกร้องแก้ไขสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่จริงประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสุขภาพ สิ่งแวดล้อม การกำกับโรงงาน และสารเคมีหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535, พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535, พระราชบัญญัตินิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2500 ฯลฯ

“แต่ปัญหาที่พบคือ กฎหมายเหล่านี้อยู่ภายใต้กระทรวง กรม และกอง ต่างหน่วยงาน ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติงาน ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน ข้อมูลต่างฝ่ายต่างถือไว้ตามที่รับผิดชอบ ซึ่งทำให้ไม่มีฐานข้อมูลกลาง ที่เป็นฐานข้อมูลให้ทุกหน่วยงานเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ ทำให้ไม่เกิดประสิทธิภาพในส่วนของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ดิฉันมองว่าสถานการณ์แย่ลง เช่น ปัญหามลพิษทางอากาศ สารเคมีระเบิด ปัญหาน้ำเสีย ฯลฯ”


• บังคับโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งการปล่อย-เคลื่อนย้ายมลพิษ

เพ็ญโฉม กล่าวว่า กฎหมาย PRTR จะกำหนดให้ผู้ปลดปล่อยมลพิษทั้งหลายต้องรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นอากาศ แหล่งน้ำ และพื้นดิน ทั้งที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า เหมืองแร่ รวมถึงรถยนต์ประเภทต่าง ๆ และการใช้สารเคมีในภาคเกษตร โดยกฎหมายฉบับนี้จะทำให้เกิดเครื่องมือในการติดตาม ตรวจสอบ กฎหมายโรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

นอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้จะช่วยลดปัญหา ทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น เช่น ช่วยลดภาระการจัดการด้านเอกสาร ทำให้ทราบถึงสถานการณ์และแนวโน้มการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน สามารถนำไปใช้กำหนดนโยบาย วางแผนแก้ไขปัญหามลพิษ รวมถึงสามารถรับมือกับภัยฉุกเฉินที่เกิดขึ้นจากสารเคมี

ในส่วนของภาคประชาชน กฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการศึกษาวิจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพขององค์กร หน่วยงาน สถาบันวิชาการต่าง ๆ และกฎหมาย PRTR จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจ การพาณิชย์อื่น ๆ เช่น การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์

ตัวกฎหมาย PRTR จะทำให้เกิดความคุ้มครองกับทุกคน และทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น กฎหมาย PRTR จึงไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง จริง ๆ แล้วมีความสำคัญพอ ๆ กับเรื่องของเศรษฐกิจด้วยซ้ำ เพราะถ้าเศรษฐกิจดีแต่สิ่งแวดล้อมมันแย่ไปหมด เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ และลูกหลานเราก็จะแย่ด้วย เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่อยากให้ทุกคนเปลี่ยนวิธีคิด ว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความมั่นคงของประเทศ เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความมั่นคงของประเทศในรูปแบบหนึ่ง และเกี่ยวพันกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น