ทีดีอาร์ไอ ร่วมกับ TCELS จัดสัมมนาสาธารณะ “ขับเคลื่อนสินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย: จากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสู่การขยายตลาด” นำเสนอผลการศึกษาแนวทางขับเคลื่อนเครื่องมือแพทย์ในบัญชีนวัตกรรม ชี้ ข้อดี ยกคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ลดเหลื่อมล้ำ เพิ่มความมั่นคงด้านสุขภาพ แต่ยังมีอุปสรรคการเบิกจ่ายล่าช้า สิทธิประโยชน์ยังไม่เชื่อมโยง ผู้ผลิตSMEsไทยยังมีข้อจำกัดด้านทุน แนะ 5 ข้อเสนอเสริมความเชื่อมั่น ขยายตลาด
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือTCELS จัดประชุมสัมมนาสาธารณะ หัวข้อ “ขับเคลื่อนสินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย: จากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสู่การขยายตลาด” ที่โรงแรม นิกโก้ แบงคอก เมื่อเร็วๆ นี้
ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทีดีอาร์ไอ นำเสนอผลการศึกษาหัวข้อ “แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาสินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย: กรณีศึกษาเครื่องมือแพทย์ในบัญชีนวัตกรรมไทยซึ่งมีการใช้ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” โดยระบุว่า อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์มีความสำคัญในฐานะการเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต และเป็นปัจจัยนำเข้าที่สำคัญของระบบบริการสุขภาพของประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีการสนับสนุนนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย ด้วยมาตรการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าในบัญชีนวัตกรรมไทย โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีบทบาทสำคัญในการนำนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยมาให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นการเปิดตลาดภาครัฐที่สำคัญให้สินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย
ดร.เสาวรัจ ระบุด้วยว่า สปสช.ได้นำเครื่องมือแพทย์ในบัญชีนวัตกรรมไทยมาใช้ใน ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อาทิ ถุงทวารเทียม รากฟันเทียม แผ่นปิดกะโหลกศีรษะเฉพาะบุคคลผลิตจากโลหะไทเทเนียมด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติทางตรง และชุดตรวจปัสสาวะคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับด้วยตนเอง (OV-Rapid Diagnosis Test) ตั้งแต่ปลายปี 2565 ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างน้อยประมาณ 72 ล้านบาท และสร้างผลกระทบเชิงสังคมที่สำคัญ ทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความมั่นคงทางสุขภาพ
๐ จัดซื้อ “ถุงทวารเทียม -รากฟันเทียม” ยังมีจุดอ่อนต้องผ่าน “ตัวกลาง” ทำเบิกจ่ายล่าช้า
อย่างไรก็ตามแม้จะมีผลเชิงบวก แต่ยังพบอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ ระบบจัดซื้อและเบิกจ่ายของสปสช.กรณีของถุงทวารเทียม และรากฟันเทียมซึ่งเป็นการจัดซื้อรวม แม้ว่าจะมีข้อดีคือ ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนการผลิตได้ชัดเจนและหน่วยบริการไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน แต่พบจุดอ่อนคือ ต้องผ่านหน่วยงานที่เป็นตัวกลาง ซึ่งไม่จำเป็นเพราะทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งต่อข้อมูลและเบิกจ่าย อีกทั้งการไม่สามารถจัดซื้อได้โดยตรงของหน่วยบริการส่งผลต่อความยืดหยุ่นและความต่อเนื่องในการให้บริการผู้ป่วย
ส่วนการจัดซื้อแผ่นปิดกะโหลกศีรษะเฉพาะบุคคลผลิตจากโลหะไทเทเนียมด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติทางตรง เป็นการจัดซื้อโดยหน่วยบริการโดยตรง ซึ่งมีข้อดีคือ บริษัทสามารถตอบสนองต่อความต้องการของแพทย์และผู้ป่วยได้รวดเร็วและตรงจุด แต่มีจุดอ่อนด้านความเสี่ยงในการไม่ได้รับเงินหรือรับเงินล่าช้าจากหน่วยบริการ
ขณะที่การจัดซื้อชุดตรวจปัสสาวะคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการจัดซื้อโดยตรงจากหน่วยนวัตกรรมบริการหรือร้านขายยาที่ร่วมโครงการ ข้อดีคือ บริษัทสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีเพราะมีช่องทางเข้าถึงได้โดยตรง แต่มีจุดอ่อนคือ หน่วยบริการมีความเสี่ยงไม่ได้เงิน หากประชาชนผู้ใช้สิทธิไม่
๐ เสียงสะท้อนผู้ป่วย - บุคลากรทางแพทย์ ยังไม่เชื่อมั่น สิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุมบริการเสริมที่จำเป็น ขณะที่ผู้ผลิต ต้องพึ่งตลาดภาครัฐเป็นหลัก ยังไม่สามารถขยายตลาดไปตปท.ได้
ทั้งนี้คณะผู้วิจัย พบว่า ผู้ป่วย/บุคลากรทางการแพทย์ บางส่วนสะท้อนถึงปัญหาคุณภาพและความเชื่อมั่นในการใช้งานจริง การขาดการเตรียมความพร้อมผู้ใช้และหน่วยบริการก่อนปฏิบัตินโยบายจริง การขาดข้อมูลสนับสนุนทางคลินิกของบางผลิตภัณฑ์ การใช้เวลานานของหน่วยบริการในการบันทึกและส่งข้อมูลเบิกจ่ายไปยัง สปสช. และจ่ายเงินล่าช้า ประชาชนยังไม่ตระหนักถึงสิทธิในการรับบริการ สิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุมบริการเสริมที่จำเป็น (เช่น การปลูกกระดูกเทียมและการผ่าตัดยกไซนัส ในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอสำหรับรองรับรากฟันเทียม) สิทธิประโยชน์ยังไม่เชื่อมโยงกับการรักษาอย่างไร้รอยต่อ (เช่น ผู้มีสิทธิประกันสังคมและสิทธิข้าราชการยังไม่สามารถรับชุดตรวจและยาขับพยาธิ (Praziquantel) ได้ในที่เดียว)
บริษัทผู้ผลิต/จำหน่าย พบปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ (1) ภาวะการแข่งขันสูงจากคู่แข่งในอุตสาหกรรม ทั้งในด้านราคา การวิจัยและพัฒนา กลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีทุนและทรัพยากรที่แข็งแกร่งกว่า ขณะที่ผู้ผลิตไทยเป็น SMEs จึงมีข้อจำกัดมากกว่าทั้งด้านทุนและทรัพยากร (2) ความสามารถในการผลิตที่จำกัด เนื่องจากปริมาณการผลิตที่ไม่มากนัก และมีความท้าทายในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการผลิต
(3) ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านการตลาดและการเงิน รวมทั้งปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน (4) การพึ่งพาตลาดภาครัฐเป็นหลัก และส่วนใหญ่ยังไม่ไดัจดทะเบียนในต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถขยายตลาดไปต่างประเทศได้ และ (5)ความสามารถทางเทคโนโลยีของผู้ผลิตไทยที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับคู่แข่งต่างชาติที่เป็นเจ้าตลาด เพื่อให้คุณภาพทัดเทียมกับสินค้าต่างชาติ และสร้างความเชื่อมั่น
๐ ทีดีอาร์ไอ ชง 5 ข้อเสนอ ยกระดับสินค้านวัตกรรม ดันเครื่องมือแพทย์ไทยให้เติบโต
ดร.เสาวรัจ ระบุว่า เพื่อให้สินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยสามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน คณะผู้วิจัยทีดีอาร์ไอ เสนอแนวทาง 5 ประการ ได้แก่
1.สปสช. ควรพัฒนาระบบเบิกจ่ายและส่งสินค้าในรูปแบบการจัดซื้อรวม โดยลดหน่วยงานที่เป็นตัวกลางที่ไม่จำเป็น เพื่อให้รวดเร็ว โปร่งใส และตรงความต้องการหน่วยบริการ
2.สร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ช่วยยกระดับมาตรฐานการขึ้นทะเบียนให้เข้มงวดมากขึ้นแต่ยังคงรวดเร็ว โดยเฉพาะสินค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ (Class I) และหน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) ที่เกี่ยวข้อง เช่น TCELS ช่วยเผยแพร่ผลการใช้งานจริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
3.จัดเวทีความร่วมมือ (Consortium) เพื่อปรึกษาหารือและทำงานร่วมกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิจัย ผู้ประกอบการ และผู้ป่วย/ผู้ใช้ โดยมีการตัดสินใจบนหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง โดยมีเจ้าภาพหลัก เช่น หน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) ที่เกี่ยวข้อง
4.ประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อเพิ่มการรับรู้สิทธิประโยชน์และป้องกันโรค โดยหน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) ที่เกี่ยวข้อง
และ5.สนับสนุนการขยายตลาดทั้งในประเทศ (เช่น สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ และตลาดเอกชน) และตลาดต่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนการจัดเวทีเผยแพร่ผลการใช้งานจริง/ผลประโยชน์และต้นทุนจากการดำเนินนโยบาย และช่วยสนับสนุนการยกระดับมาตรฐานสากล (เช่น ISO 13485, CE Mark และ US FDA) โดยหน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) ที่เกี่ยวข้อง พร้อมสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและพันธมิตรท้องถิ่น ตลอดจน สนับสนุนการตลาดและสร้างการยอมรับ (เช่น การจัด Medical Roadshow/Thailand Week ร่วมกับสถานทูตหรือหอการค้าในประเทศเป้าหมาย และการสนับสนุนผู้ผลิตไทยให้เข้าร่วม งานแสดงสินค้า ในตลาดเป้าหมาย) โดยหน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) ที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงพาณิชย์
รวมทั้งการผลักดันผ่านความร่วมมือระดับรัฐ (G2G) หรือแหล่งทุนจากต่างประเทศที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนา เช่น ADB และ JICA โดยหน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งหากมีการดำเนินการตามข้อเสนอนอกจะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และได้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ยังสามารถขับเคลื่อนสินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยไปสู่การขยายตลาดได้มากขึ้น
ภายในงานยังมีการจัดเวทีเสวนา ในหัวข้อ “ขับเคลื่อนสินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย: จากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสู่การขยายตลาด” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ทพ. อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดร. จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) คุณพีรวัฒน์ ทองคำ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท โนวาเทค เฮลธ์แคร์ จำกัด รศ.ดร. วัชรินทร์ ลอยลม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผศ.ดร. เชษฐา พันธ์เครือบุตร Chief Technology Officer บริษัท เมติคูลี่ จำกัด และพ.อ.ทพ.ดร. ธนกฤต นพคุณวิจัย นายกสมาคมทันตกรรมรากเทียมแห่งประเทศไทย และดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา