วางแนวทางมุ่งเน้น 2 เรื่องหลัก ชูเรื่องราว ‘อบอุ่นใจ’ ผลักดันสังคมแห่งการให้ พร้อมเปิดรับพันธมิตรจากหลากหลายภาคส่วน หวังเป็นสัญลักษณ์ของ “การให้ที่ยั่งยืน” อย่างแท้จริง พร้อมเผยผลการดำเนินงานปี 2568 เห็นภาพสะท้อน 3 ด้าน มุ่งสร้างเครือข่ายผู้ให้รุ่นใหม่
พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวถึง บทบาทในรอบ 60 ปีที่ผ่านมาของมูลนิธิรามาธิบดีฯ ว่า จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งมูลนิธิรามาธิบดีเกิดจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ดร.อารีย์ วัลยะเสวี คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่เล็งเห็นว่าประชาชนมีความประสงค์จะบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ ความตั้งใจนี้ได้ขยายวงกว้างขึ้นจากเดิมที่มุ่งช่วยผู้ป่วยขาดแคลนค่ารักษาพยาบาล ไปสู่การสนับสนุนการรักษาพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น การปลูกถ่ายอวัยวะที่มีค่าใช้จ่ายสูงและยาบางชนิดที่มีราคาสูงมาก นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องหยุดงานเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อเข้ารับการรักษา และหากเป็นผู้ป่วยเด็ก บิดามารดาก็ต้องหยุดงานเพื่อดูแลบุตร
ดังนั้น มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงเป็น ‘สะพานบุญ’ แห่งการให้ โดยมองภาพรวมการดูแลสุขภาพในเชิงระบบ (Ecosystem) ตั้งแต่การช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาล ไปจนถึงการสนับสนุนแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมในการดูแลผู้ป่วย ทั้งยังมีโครงการทุนการศึกษารามาธิบดี สร้างโอกาสการรักษา สร้างบุคลากรการแพทย์ อีกทั้งโครงการวิจัยขั้นสูงที่มีความร่วมมือกับต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งต้องการความยืดหยุ่นและการดำเนินงานที่รวดเร็ว
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญคือการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการแพทย์ ทั้งการสร้างอาคารและการจัดหาเครื่องมือแพทย์กับโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี เพื่อเสริมแกร่งระบบนิเวศสุขภาพของโรงพยาบาลรามาธิบดีฯ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมการให้ในสังคมไทย ด้วยการสร้าง “ความหวัง” และ “ความเท่าเทียม” ในสังคม เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการแบ่งปันอย่างแท้จริงในทุกช่วงวัย เพื่อปลูกฝังการให้เป็นรากฐานของสังคมไทย สร้าง “สังคมแห่งการให้” อย่างแท้จริง
สำหรับทิศทางในทศวรรษที่ 7 มูลนิธิฯ มุ่งเน้น 2 เรื่องหลัก คือ หนึ่ง ขับเคลื่อนสังคมแห่งการให้ด้วยเรื่องราวที่ ‘อบอุ่นใจ’ เนื่องด้วยในโลกยุคออนไลน์และดิจิทัล แนวคิดเรื่อง “ความยั่งยืน” ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต รวมถึงแนวทางในการ “ให้” ที่เกิดขึ้นได้ง่าย มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงมุ่งพัฒนาระบบการบริจาคให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ให้ในยุคปัจจุบัน เพื่อให้ทุกการมีส่วนร่วมก่อเกิดเป็นความสุขได้ทันที หรือที่เรียกว่า ‘ความสุขทันใจจากการให้’ ผ่านช่องทางออนไลน์และดิจิทัลที่สะดวกและเข้าถึงง่าย ปัจจุบันกว่า 60% ของการบริจาคมาจากผู้ที่ไม่ได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลโดยตรงซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโอกาสการทำความดีได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้น เกิดขึ้นได้จากทุกที่และทุกคน
สอง ขับเคลื่อนความร่วมมือจากการสนับสนุนของพันธมิตร ศิลปิน ดารา นักแสดงจิตอาสา ด้วยการเปิดรับพันธมิตรจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งสื่อมวลชนที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่สื่อแบบดั้งเดิมจนถึงสื่อดิจิทัล รวมถึงศิลปิน ดารา และกลุ่มแฟนคลับที่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในโลกยุค AI พลังบวกและความมุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืนทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างและหลากหลายมากขึ้น เราตั้งใจให้มูลนิธิรามาธิบดีฯ อยู่ในดวงใจของทุกคน และเป็นสัญลักษณ์ของ “การให้ที่ยั่งยืน” อย่างแท้จริง
พรรณสิรี อธิบายถึงความหมายของ “คำว่าให้...ไม่สิ้นสุด” ว่า เป็นแนวคิดที่อบอุ่นใจทั้ง ‘ผู้ให้’ และ ‘ผู้รับ’ โดยในช่วงเวลา 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าผู้บริจาคทุกท่านต่างมีเรื่องราวและความน่าประทับใจในแต่ละกรณี แต่ก่อนอื่นอยากจะกล่าวถึงภาพรวมของคำว่า “ให้” ก่อนจะกลับมาที่รายละเอียดของแต่ละเรื่อง หลายคนอาจมองว่าผู้รับต้องขอบคุณผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยหรือเราเอง แต่ในหลายครั้งกลับเป็นผู้บริจาคที่ย้อนกลับมาขอบคุณเรา ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ “คำว่า…ให้ไม่สิ้นสุด” หากพิจารณาในภาพรวม เงินบริจาคที่ได้รับนั้นไม่เพียงแค่มอบให้แก่ผู้ป่วยโดยตรง แต่ยังถูกส่งต่อในรูปแบบของโอกาสและการสนับสนุนหลายมิติ ทั้งการที่แพทย์ได้ใช้ทรัพยากรเหล่านี้เพื่อดูแลผู้ป่วย นักศึกษาแพทย์ได้รับโอกาสในการเรียนรู้ และนักวิจัยได้พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ที่มีมูลค่าสูงซึ่งได้มาจากการบริจาค ก็เป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขาความประทับใจที่เกิดขึ้นจึงส่งต่อเป็นการให้ในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง
แนวคิดของ “คำว่า…ให้ไม่สิ้นสุด” จึงไม่ใช่เพียงการจบลงเมื่อเงินบริจาคถูกส่งมอบ หรือเมื่อนักศึกษาได้รับทุนการศึกษา แต่การให้ยังคงดำเนินต่อเมื่อบุคลากรเหล่านั้นเติบโตเป็นแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยจำนวนมาก และเล่าต่อเรื่องราวของการได้รับโอกาสนั้น กลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมการให้ที่วางรากฐานทั้งด้านสาธารณสุขและสังคมที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ในสังคมปัจจุบัน เราเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งความเหลื่อมล้ำและความเปราะบางทางการสื่อสาร การสร้างวัฒนธรรมการให้จึงต้องทำอย่างระมัดระวังและคำนึงถึงปัจจัยรอบด้าน เราต้องการให้การบริจาคเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสบายใจของทั้งผู้ให้ สังคม และผู้ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง นี่คือสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ขณะที่ ผลการดำเนินงานในปี 2568 ทำให้เห็นภาพสะท้อน 3 ด้าน ด้านแรก คนไทยกับวัฒนธรรมของการ ‘ให้’ ในช่วงวิกฤต - โดยปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญกับหลากหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเหตุไฟไหม้หรือเหตุแผ่นดินไหว เป็นวิกฤตที่คนไทยต่างร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือ โดยผู้บริจาคหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้บริจาครายใหม่เพิ่มขึ้นถึงกว่า 40%
ด้านที่สอง ภารกิจต่อการรักษาผู้ป่วยยากไร้ - การช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ก็ยังเป็นภารกิจสำคัญ เนื่องจากยังมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งสิทธิ์การรักษาก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด อย่างไรก็ตามโครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้ ก็ยังเป็นโครงการหลักสำคัญ โดยมูลนิธิยังเดินหน้าต่อยอดการสนับสนุนไปสู่การสร้างองค์ความรู้ การเรียนการสอน และการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้กับระบบสุขภาพของประเทศไทย
ด้านที่สาม อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี กับการเป็น ‘พื้นที่แห่งความหวัง’ - โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี เปิดให้บริการสำหรับคนไทยทุกคน รวมทั้ง ผู้ป่วยโครงการ 30 บาท และประกันสังคม ถือเป็น Mega Project ด้วยงบประมาณจำนวนมากและแนวคิดการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับ User-Centric Design ซึ่งยังเป็นโครงการหลักในการระดมทุนต่อไปอีกอย่างน้อย 7 ปี นอกจากนี้ ยังมีการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดตั้งศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา สุขภาพที่ยืนยาว คือความสุขที่ยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพเชิงรุก โดยเน้นการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อให้ประชาชนสามารถคงสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว คาดว่าจะเปิดให้บริการปลายปี 2568
อีกเรื่องสำคัญคือ การสร้างเครือข่ายผู้ให้รุ่นใหม่ โดยมูลนิธิฯ มุ่งมั่นพัฒนา เข้าถึงทุก Gen ได้อย่างแท้จริง แพลตฟอร์มการบริจาคครอบคลุมกับคนทุกเพศ ทุกวัย และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากกว่าการบริจาคหรือรับรู้ข่าวสารเพียงอย่างเดียว โดยการใช้โซเชียลมีเดีย และการมีส่วนร่วมกับฐานะ ‘ผู้ให้’ ยุคใหม่ ซึ่งในปัจจุบัน LINE Official Facebook และTikTok ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลัก ในการเข้าถึงข่าวสารของมูลนิธิ การปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย โดยขยายการสื่อสารไปสู่ช่องทางที่ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ ซึ่งในปีที่ผ่านมา กลุ่ม Gen Z มีการเติบโตของผู้บริจาคกว่า 10% เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัย
นอกจากนี้ ยังใช้กลยุทธ์การสื่อสารที่ ‘อบอุ่น’ และ “จริงใจ” แม้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเข้าถึงผู้บริจาคมากขึ้น ยังคงยึดมั่นในความเป็น Human Touch ด้วยความมุ่งสร้างการสื่อสารที่จริงใจ ไม่ให้ความรู้สึกเป็นเพียงระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์ พนักงานทุกคนได้รับการปลูกฝังให้สื่อสารด้วยหัวใจและความใส่ใจต่อผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นผู้บริจาคหรือผู้ที่ร่วมแชร์ข้อมูลให้เรา ความจริงใจและการแสดงความขอบคุณยังคงเป็นหัวใจหลักของเรา อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของยุคปัจจุบันคือการสร้างเนื้อหาที่สามารถส่งต่อความรู้สึกและความตั้งใจของเราไปยังผู้บริจาคและผู้มีส่วนร่วม
รวมทั้ง การสร้างสรรค์ของที่ระลึกการกุศลที่ทันสมัย ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน จากจุดเริ่มต้นแนวคิดในปี 2554 มูลนิธิรามาธิบดีฯ สร้างสรรค์และพัฒนา เพื่อเพิ่มคุณค่าให้แก่ของที่ระลึกการกุศลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ของดี มีคุณภาพ สวยงาม ใช้งานได้จริง เหมาะที่จะเป็นของขวัญที่มีความหมาย ส่งต่อให้แก่ผู้เป็นที่รักได้ในหลายวาระโอกาส ทั้งยังได้รับความสุขใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ และพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้าอีกด้วย
เมื่อมองไปในอีก 10 ปีข้างหน้า มูลนิธิฯ มีวิสัยทัศน์ยึดมั่นในหลัก ‘ธรรมาภิบาลที่ดี’ และการดำเนินพันธกิจที่โปร่งใส มุ่งขับเคลื่อนระบบบริหารจัดการด้านการให้เพื่อสังคม ด้วยความจริงใจและยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อสนับสนุนพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ในการยกระดับการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยังมุ่งสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ในทุกมิติ ด้วยการทำงานอย่างจริงใจ เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งการให้ ที่ทุกคนเข้าถึงได้ สัมผัสได้ และร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน ./