เป็นที่ทราบดีว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีสัดส่วนของจำนวนกิจการมากกว่า 90% ของธุรกิจ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันราว 50% ของจีดีพีโลก และก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 60%-70% ของการจ้างงานทั่วโลก
ท่ามกลางสงครามการค้าที่ใช้กลไกภาษีนำเข้า ซึ่งจุดเชื้อโดยสหรัฐอเมริกากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้กิจการ SME ที่ต้องส่งออกไปยังสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่สินค้าซึ่งส่งไปวางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ อาจมีราคาที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับคู่แข่งท้องถิ่นในสหรัฐฯ ที่ไม่โดนกำแพงภาษีนำเข้า
และแม้กิจการ SME ในประเทศเอง ที่มิได้ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบจากภาษีการค้า เนื่องจากการเจรจาที่ทำให้ไทยได้ลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 19% (จากเดิม 36%) เราต้องแลกกับการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งมาขายยังประเทศไทยกว่าหมื่นรายการ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ซึ่งมีผลให้สินค้าเหล่านี้ อาจมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศมีกำไรลดลง หรืออาจประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันราคาได้
นอกจากประเด็นการค้าจากปัจจัยด้านภาษีข้ามพรมแดนแล้ว กิจการ SME ยังต้องเผชิญกับประเด็นความยั่งยืนจากปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ที่มาในรูปแบบของการเก็บภาษีเฉพาะ เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ที่จะเริ่มมีการคิดภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนกับสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สำหรับสินค้านำเข้าที่มีน้ำหนักรวมกันเกิน 50 ตันต่อปีต่อราย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 เป็นต้นไป
ในภูมิภาคยุโรป ได้มีความพยายามในการช่วยเหลือกิจการ SME เพื่อมิให้มีภาระในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนทั้งในแง่ของการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลมากจนเกินไป ซึ่งโดยปกติ ลูกค้าของกิจการ SME ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความยั่งยืน มักจะเป็นผู้ร้องขอข้อมูล ESG จากกิจการ SME ที่เป็นผู้ส่งมอบ (Supplier) ในรูปของแบบสอบถามหรือแบบกรอกข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน (แต่ตอบด้วยชุดข้อมูล ESG เดียวกัน) ทำให้กิจการ SME ต้องมีภาระในการจัดทำข้อมูล ESG ส่งให้ลูกค้าตามรูปแบบที่แต่ละองค์กรจัดทำขึ้นเองอย่างเป็นเอกเทศ

เพื่อเป็นการลดภาระให้กิจการ SME คณะกรรมาธิการยุโรป จึงได้ประกาศรับรองให้ใช้มาตรฐาน VSME ที่จัดทำขึ้นโดยคณะที่ปรึกษาการรายงานทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG) สำหรับกิจการซึ่งมีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน ที่ต้องการรายงานข้อมูลความยั่งยืนโดยสมัครใจ (Voluntary) สามารถใช้มาตรฐานดังกล่าว เพื่อจำกัดการร้องขอข้อมูล ESG ในห่วงโซ่คุณค่า (value-chain cap) จากกิจการขนาดใหญ่ มิไห้เกินกว่าที่มาตรฐาน VSME กำหนดไว้
ในข้อกำหนดตามมาตรฐาน VSME ที่คณะกรรมาธิการยุโรปให้การรับรองไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 แนะนำให้กิจการ VSME ควรเปิดเผยข้อมูลพื้นฐานของกิจการ แนวปฏิบัติ นโยบาย และความริเริ่มที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งลดผลกระทบเชิงลบ และเพิ่มผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยประเด็นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ และผิวดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้น้ำ การใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจหมุนเวียน และการจัดการของเสีย
ส่วนประเด็นความยั่งยืนด้านสังคมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ คุณลักษณะทั่วไปของแรงงาน สุขภาพและความปลอดภัย ค่าตอบแทน สภาพการจ้าง และการฝึกอบรม
และประเด็นความยั่งยืนด้านธรรมาภิบาลที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ การประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใส รวมถึงการรายงานบทลงโทษและค่าปรับจากเหตุทุจริตและการให้สินบน (ถ้ามี)
ทั้งนี้ ประโยชน์ที่กิจการ VSME จะได้รับจากการดำเนินงานโดยคำนึงถึงประเด็นความยั่งยืนข้างต้น ประกอบด้วย
(1) การรักษามาตรฐานการประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่สามารถสร้างความแตกต่างและช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันเหนือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในตลาด
(2) การลดภาระการจัดทำข้อมูลสำคัญทางธุรกิจที่ถูกร้องขอจากคู่ค้าสำหรับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อผู้ค้า (Vendor List) และจากสถาบันการเงินสำหรับการขอสินเชื่อหรือการเข้าลงทุนในกิจการ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามมาตรฐาน VSME ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
(3) การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินตามเกณฑ์สินเชื่อสีเขียวในอัตราดอกเบี้ยต่ำ (เช่น สินเชื่อเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การก่อสร้างและปรับปรุงอาคารประหยัดพลังงาน การกำจัดและบำบัดของเสีย) และการลงทุนที่ยั่งยืนพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี (เช่น การลงทุนด้านขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนปรับเครื่องจักรให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม)
(4) การขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านแรงงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบสำหรับใช้ในการกำกับดูแลและความรับผิดชอบในการประกอบธุรกิจที่เป็นสากล เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ของสหภาพยุโรป
และเพื่อเป็นการยกระดับกิจการ SME ในประเทศไทย ที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การค้าโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้ง VSME Forum เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับกิจการที่มีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน และสนใจนำปัจจัยด้าน ESG มาใช้ต่อยอดในธุรกิจโดยสมัครใจ เพื่อมุ่งสู่การเป็นวิสาหกิจวิถียั่งยืน และเพิ่มโอกาสในการค้าขายกับบรรษัทข้ามชาติหรือกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน ESG เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการรายงานความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ของสหภาพยุโรป เป็นต้น
บทความโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์
ท่ามกลางสงครามการค้าที่ใช้กลไกภาษีนำเข้า ซึ่งจุดเชื้อโดยสหรัฐอเมริกากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้กิจการ SME ที่ต้องส่งออกไปยังสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่สินค้าซึ่งส่งไปวางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ อาจมีราคาที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับคู่แข่งท้องถิ่นในสหรัฐฯ ที่ไม่โดนกำแพงภาษีนำเข้า
และแม้กิจการ SME ในประเทศเอง ที่มิได้ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบจากภาษีการค้า เนื่องจากการเจรจาที่ทำให้ไทยได้ลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 19% (จากเดิม 36%) เราต้องแลกกับการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งมาขายยังประเทศไทยกว่าหมื่นรายการ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ซึ่งมีผลให้สินค้าเหล่านี้ อาจมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศมีกำไรลดลง หรืออาจประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันราคาได้
นอกจากประเด็นการค้าจากปัจจัยด้านภาษีข้ามพรมแดนแล้ว กิจการ SME ยังต้องเผชิญกับประเด็นความยั่งยืนจากปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ที่มาในรูปแบบของการเก็บภาษีเฉพาะ เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ที่จะเริ่มมีการคิดภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนกับสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สำหรับสินค้านำเข้าที่มีน้ำหนักรวมกันเกิน 50 ตันต่อปีต่อราย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 เป็นต้นไป
ในภูมิภาคยุโรป ได้มีความพยายามในการช่วยเหลือกิจการ SME เพื่อมิให้มีภาระในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนทั้งในแง่ของการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลมากจนเกินไป ซึ่งโดยปกติ ลูกค้าของกิจการ SME ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความยั่งยืน มักจะเป็นผู้ร้องขอข้อมูล ESG จากกิจการ SME ที่เป็นผู้ส่งมอบ (Supplier) ในรูปของแบบสอบถามหรือแบบกรอกข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน (แต่ตอบด้วยชุดข้อมูล ESG เดียวกัน) ทำให้กิจการ SME ต้องมีภาระในการจัดทำข้อมูล ESG ส่งให้ลูกค้าตามรูปแบบที่แต่ละองค์กรจัดทำขึ้นเองอย่างเป็นเอกเทศ
เพื่อเป็นการลดภาระให้กิจการ SME คณะกรรมาธิการยุโรป จึงได้ประกาศรับรองให้ใช้มาตรฐาน VSME ที่จัดทำขึ้นโดยคณะที่ปรึกษาการรายงานทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG) สำหรับกิจการซึ่งมีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน ที่ต้องการรายงานข้อมูลความยั่งยืนโดยสมัครใจ (Voluntary) สามารถใช้มาตรฐานดังกล่าว เพื่อจำกัดการร้องขอข้อมูล ESG ในห่วงโซ่คุณค่า (value-chain cap) จากกิจการขนาดใหญ่ มิไห้เกินกว่าที่มาตรฐาน VSME กำหนดไว้
ในข้อกำหนดตามมาตรฐาน VSME ที่คณะกรรมาธิการยุโรปให้การรับรองไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 แนะนำให้กิจการ VSME ควรเปิดเผยข้อมูลพื้นฐานของกิจการ แนวปฏิบัติ นโยบาย และความริเริ่มที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งลดผลกระทบเชิงลบ และเพิ่มผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยประเด็นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ และผิวดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้น้ำ การใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจหมุนเวียน และการจัดการของเสีย
ส่วนประเด็นความยั่งยืนด้านสังคมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ คุณลักษณะทั่วไปของแรงงาน สุขภาพและความปลอดภัย ค่าตอบแทน สภาพการจ้าง และการฝึกอบรม
และประเด็นความยั่งยืนด้านธรรมาภิบาลที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ การประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใส รวมถึงการรายงานบทลงโทษและค่าปรับจากเหตุทุจริตและการให้สินบน (ถ้ามี)
ทั้งนี้ ประโยชน์ที่กิจการ VSME จะได้รับจากการดำเนินงานโดยคำนึงถึงประเด็นความยั่งยืนข้างต้น ประกอบด้วย
(1) การรักษามาตรฐานการประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่สามารถสร้างความแตกต่างและช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันเหนือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในตลาด
(2) การลดภาระการจัดทำข้อมูลสำคัญทางธุรกิจที่ถูกร้องขอจากคู่ค้าสำหรับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อผู้ค้า (Vendor List) และจากสถาบันการเงินสำหรับการขอสินเชื่อหรือการเข้าลงทุนในกิจการ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามมาตรฐาน VSME ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
(3) การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินตามเกณฑ์สินเชื่อสีเขียวในอัตราดอกเบี้ยต่ำ (เช่น สินเชื่อเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การก่อสร้างและปรับปรุงอาคารประหยัดพลังงาน การกำจัดและบำบัดของเสีย) และการลงทุนที่ยั่งยืนพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี (เช่น การลงทุนด้านขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนปรับเครื่องจักรให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม)
(4) การขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านแรงงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบสำหรับใช้ในการกำกับดูแลและความรับผิดชอบในการประกอบธุรกิจที่เป็นสากล เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ของสหภาพยุโรป
และเพื่อเป็นการยกระดับกิจการ SME ในประเทศไทย ที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การค้าโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้ง VSME Forum เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับกิจการที่มีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน และสนใจนำปัจจัยด้าน ESG มาใช้ต่อยอดในธุรกิจโดยสมัครใจ เพื่อมุ่งสู่การเป็นวิสาหกิจวิถียั่งยืน และเพิ่มโอกาสในการค้าขายกับบรรษัทข้ามชาติหรือกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน ESG เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการรายงานความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ของสหภาพยุโรป เป็นต้น
บทความโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์