การใช้พลังงานในการเปลี่ยนพลาสติกเป็นใยโพลีเอสเตอร์ ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอ Fast Fashion ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลกราว 8-10% (หรือราว 4-5 ร้อยล้านตัน) ขณะที่ทิศทางโลกการค้ายุคใหม่นับวันตอบรับสินค้าสิ่งทอที่มีฟังก์ชันพิเศษ คือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นั่นทำให้ไทยต้องเร่งเปลี่ยนผ่าน
Fast Fashion เป็นอีกภาคธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยปี 2567 มูลค่าตลาดของ Fast Fashion ทั่วโลกอยู่ที่ 142 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.5% จากปีก่อนหน้า และยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าตามกระแส และมีราคาย่อมเยานี้ยังมีการจ้างงานกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก แต่เมื่อมีการผลิตที่มากขึ้นและอาจเกินความต้องการที่แท้จริง กลับกลายเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ระบุว่า ธุรกิจ Fast Fashion ที่มีการผลิตเสื้อผ้าตามกระแส แต่ราคาถูกไม่ได้เน้นคุณภาพมาก แม้จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานได้ แต่ด้วยกระบวนการผลิต และปัจจัยอื่นๆ กลับส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
ด้วยห่วงโซ่อุปทานที่ยาวและซับซ้อนของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ทำให้มีการปล่อยคาร์บอนฯ สูง ประมาณ 1,700 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี หรือมีสัดส่วนประมาณ 6-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั่วโลก ซึ่งมากกว่าการปล่อยจากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกัน (2-3%)
ทุกปีทั่วโลกมีเสื้อผ้าถูกผลิตขึ้นกว่า 1 แสนล้านชิ้นทุกปี และมากถึง 92 ล้านตันถูกทิ้งลงหลุมฝังกลบขยะ ส่วนสำคัญหนึ่งเกิดจากการเจริญเติบโตของฟาสต์แฟชั่น (Fast Fashion) ที่คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 134 ล้านตันต่อปีภายในสิ้นทศวรรษนี้
• Fast Fashion พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
เพราะพลาสติกถูกผลิตขึ้นโดยใช้น้ำมันและก๊าซ และใยโพลีเอสเตอร์ก็ทำมาจากพลาสติกผสานเส้นใยกลายเป็นเสื้อผ้า ปัจจุบันมีเสื้อผ้ามากกว่าครึ่งจากปริมาณเสื้อผ้าที่ถูกผลิตขึ้นที่ใช้วัสดุสังเคราะห์เช่น ใยโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น ซึ่งวัสดุเหล่านี้มักไม่สามารถย่อยสลายหรือไม่สามารถรีไซเคิลได้ และสุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาขยะพลาสติกที่มีปริมาณมหาศาล
อุตสาหกรรมน้ำมันคาดการณ์แล้วว่ากระแสการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศด้วยการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะกระทบกับผลกำไรของบริษัทน้ำมันแน่นอน และเหมือนเป็นโชคดีสำหรับพวกเขา เพราะอุตสาหกรรม Fast Fashion ก็ดูจะมีความต้องการผลิตใยโพลีเอสเตอร์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นอุตสาหกรรมน้ำมันจึงพยายามมองหากลุ่มลูกค้าใหม่เพื่อยังคงผลกำไรของตัวเองเอาไว้ให้ได้
ก่อนหน้านี้ มีรายงานที่ค้นพบว่าแบรนด์ Fast Fashion หลายแบรนด์ เช่น New Look และ Next กำลังสนับสนุนสงครามรัสเซียบุกยูเครนอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะใช้ใยโพลีเอสเตอร์จากน้ำมันของรัสเซีย
• ใยผ้าเป็นแหล่งกำเนิดไมโครพลาสติก
ข้อมูลจากกรีนพีซ ระบุว่าใยโพลีเอสเตอร์ก็คือพลาสติก ซึ่งใช้เวลานานหลายปีกว่าที่จะแตกตัวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยใยเหล่านี้จะถูกนำมาถักสานกันเป็นเสื้อผ้าทำให้ขาดออกจากกันได้ยากขึ้น แต่เมื่อเสื้อผ้าเหล่านี้ถูกทิ้งยังบ่อขยะ เส้นใยพลาสติกและสารเคมีอันตรายที่อยู่ในเส้นใยก็จะกลายเป็นมลพิษที่ปนเปื้อนสู่อากาศ ดิน และน้ำ
ในแต่ละปี มีใยพลาสติกไมโครไฟเบอร์ที่หลุดออกจากเสื้อผ้าขณะซักผ้ากว่าครึ่งล้านตัน ใยพลาสติกที่เรารู้จักในชื่อ โพลีเอสเตอร์ ไนลอน หรืออะคลิลิก ที่หลุดออกมาเหล่านี้สุดท้ายจะไหลลงสู่มหาสมุทร ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณขวดพลาสติกราว 5 พันล้านขวดเลยทีเดียว
ไมโครพลาสติกจึงปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมทุกที่แม้กระทั่งในอากาศที่เราหายใจ และในขณะเดียวกันมันก็แตกตัวเป็นอณูเล็กๆ ในเวลาที่เราใช้เครื่องซักผ้า ไหลไปพร้อมกับน้ำและปนเปื้อนลงสู่มหาสมุทร
เมื่อพิจารณาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัญหาร้ายแรงมาก เพราะพลาสติกเหล่านี้ไม่เพียงแค่เป็นมลพิษในสิ่งแวดล้อม แต่มันกำลังเป็นภัยคุกคามต่อร่างกายของเราด้วยเนื่องจากมันจะเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านการดื่มน้ำและการกินอาหาร และจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีการยืนยันว่ามันส่งผลกระทบกับเรามากแค่ไหน
• กระทบสังคมไทย ‘ปมลิขสิทธิ์-แรงงาน’
ในส่วนของประเทศไทย แม้ไม่มีการเก็บข้อมูล Fast Fashion เฉพาะเจาะจง แต่จะรวมอยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มที่มีมูลค่าถึง 1.6 แสนล้านบาท (ในปี 2565) มีแรงงานในภาคส่วนนี้กว่า 6.2 แสนคน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในสายการผลิตเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย
แต่หากถามถึงพฤติกรรมของคนไทยที่เกิดจาก Fast Fashion โดยผลสำรวจจาก YouGow เมื่อปี 2560 ยังพบว่า 40% ของคนไทย ทิ้งเสื้อผ้าหลังใส่แค่ครั้งเดียว สาเหตุการทิ้ง ส่วนใหญ่ระบุว่า เกิดจากความเบื่อ ไม่เหมาะสม หรือมีตำหนิ ซึ่งอาจเป็นผลกระทบด้านสังคมที่เกิดจาก Fast Fashion
1) สร้างวัฒนธรรมการบริโภคเกินพอดี (Overconsumption) ที่ไม่ได้ส่งผลแค่ปริมาณขยะที่เพิ่มสูงขึ้น ยังทำให้คนไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของการซื้อสินค้า จากการโฆษณาส่งเสริมการขายที่กระตุ้นให้คนซื้อมากกว่าความจำเป็น และการทำให้ค่านิยมเปลี่ยน อาทิ การขายไลฟ์สไตล์ของ Influencer
2) ปัญหาสุขภาพ สินค้า Fast Fashion ที่มักพบการปนเปื้อนของสารเคมีอันตราย เช่น พาทาเลท ฟอมาลดีไฮน์ โดยเฉพาะไมโครพลาสติก ที่สามารถสะสมในร่างกายและเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ทั้งต่อผู้สวมใส่ และรุนแรงขึ้นต่อกลุ่มแรงงานที่ทำงานในภาคการผลิตดังกล่าว
3) การละเมิดลิขสิทธิ์ เกิดขึ้นได้ง่ายและบ่อยครั้ง โดยเฉพาะการคัดลอกดีไซน์ของแบรนด์หรูหรือดีไซเนอร์ชื่อดังมาผลิตสินค้าเลียนแบบในราคาที่ถูกกว่า
4) การละเมิดสิทธิแรงงาน เมื่อ Fast Fashion เน้นผลิตสินค่าราคาถูกจำนวนมากจึงมักควบคุมต้นทุนการผลิต และลดต้นทุนด้านแรงงานด้วยการละเมิดสิทธิแรงงาน ทั้งการใช้งานเกินเวลา การล่วงละเมิดทางเพศ การใช้แรงงานเด็กแบบผิดกฎหมาย ซึ่งมักพบในประเทศที่เป็นฐานการผลิตในเอเชีย เช่น ปี 2565 กรณีของกัมพูชา พบว่า 94% ของโรงงานผลิตใช้แรงงานเกินเวลา และไม่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ขณะที่แรงงานผู้หญิง 14% เคยถูกลวนลาม/ข่มขืน ฯลฯ
• ไทยต้องเร่งเปลี่ยนผ่านตามเทรนด์โลก
สำหรับประเทศไทยนั้นการส่งออกในอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และอยู่ใน 20 อันดับแรกผู้ส่งออกสูงสุดของโลก โดยมีปริมาณการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มประมาณ 2,800 ตันต่อปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยจะมีการปล่อยคาร์บอนฯที่ 4-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั้งประเทศ ซึ่งใกล้เคียงกับเกณฑ์เฉลี่ยของโลก
ทั้งนี้ ประเด็นปัญหาหลักของไทยคือข้อจำกัดของข้อมูลต่าง ๆ มิใช่เพียงของอุตสาหกรรมนี้เท่านั้น โดยเริ่มต้นจากการจัดทำฐานข้อมูลโดยใช้ระบบ ISSB เพื่อจัดทำ Carbon Accounting ที่เป็นมาตรฐานตามแนวทางของอุตสาหกรรมอื่น ๆ แล้วจึงเริ่มดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภาคเอกชน ได้แก่
1.การใช้มาตรการส่งเสริม 3Rs (Reduce Reuse Recycle) และเศรษฐกิจแบบ BCG โดยในช่วงเริ่มต้นควรการให้เงินสนับสนุนหรือลดภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึงการกระตุ้นการสร้างนวัตกรรมในอนาคต
2.การใช้กลไกภาษีเพื่อลดพฤติกรรม โดยอาจดำเนินการในทำนองกับประเทศฝรั่งเศสที่ดำเนินการกับ Fast Fashion ซึ่งอาจเริ่มต้นจากการเก็บค่าปรับ 20-50 บาทต่อชิ้น และอาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมในอนาคต
ตลาดสินค้าจากแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นกำลังขยายตัวอย่างมหาศาล ด้วยกลยุทธ์ด้านราคาที่ย่อมเยา เสื้อผ้าออกแบบตามกระแส แต่ในอีกด้านหนึ่งโมเดลธุรกิจเช่นนี้สร้างความไม่ยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง แม้ว่าเหล่าแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นพยายามฟอกเขียวตัวเอง (โดยเฉพาะการใช้ฉลากสินค้าที่อ้างถึงความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม) แต่ในความเป็นจริงการทำธุรกิจในลักษณะเช่นนี้สวนทางกับคำว่ายั่งยืน
จึงไม่ใช่แค่เพียงมาตรการจากภาครัฐเท่านั้น แต่ภาคเอกชนและผู้บริโภคเองที่จะต้องตระหนักรู้เพื่อเตรียมรับมือกับ Fast Fashion และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อโลกที่ยั่งยืน