xs
xsm
sm
md
lg

‘ดร.บัญฑิต’ ส่อง “ธรรมาภิบาลภาครัฐ” ต้องเปลี่ยนทั้งคนและระบบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดร.บัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล สะท้อนมุมมองภาคเอกชน ในเรื่อง “ธรรมาภิบาลของภาครัฐ” สองประเด็นสำคัญ คือ ความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และแนวทางสร้างธรรมาภิบาลให้เข้มแข็งได้อย่างไร

ทำไม ! มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาประเทศ

เพราะธรรมาภิบาลเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ธรรมาภิบาลคือการทําในสิ่งที่ถูกต้อง หมายถึง การทํางานอย่างเป็นระบบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีเหตุมีผล ซื่อตรง ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย นี่คือธรรมาภิบาล และนี่คือการทําหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นสิ่งที่ประชาชนคาดหวัง ถ้าทําได้ประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมจะมหาศาล เพราะภาครัฐจะมีการตัดสินใจที่ดี เศรษฐกิจได้ประโยชน์เติบโต ประชาชนได้ประโยชน์ การทุจริตคอรัปชั่นลดลง ตรงกันข้าม ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐขาดธรรมาภิบาล สถาบันภาครัฐก็ไม่เข้มแข็ง คอรัปชั่นจะมาก ภาครัฐตัดสินใจไม่ดี ประเทศไม่พัฒนา

ในประเด็นนี้ ข้อมูลจากดัชนีการรับรู้การทุจริตคอรัปชั่น หรือ CPI ทําโดยองค์กรความโปร่งใสระหว่างประเทศชี้ให้เห็นชัดเจน คือในทั้ง 180 ประเทศที่ประเมิน ห้าสิบอันดับแรกที่คะแนนดีสูงสุดล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว รายได้สูง สถาบันภาครัฐเข็มแข็ง และภาครัฐมีธรรมาภิบาลในการทําหน้าที่ ตัวอย่างในเอเซียก็เช่น สิงค์โปร์ ญี่ปุ่น รองมาอันดับที่ 51-70 ส่วนใหญ่เป็นประเทศรายได้สูง สถาบันภาครัฐเข้มแข็งใช้ได้แต่อาจมีจุดอ่อนบ้าง ขณะที่ธรรมาภิบาลจะดีเป็นส่วนใหญ่เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน 

ส่วนอันดับ 71-120 จะเป็นประเทศตลาดเกิดใหม่ รายได้สูงถึงปานกลาง สถาบันภาครัฐไม่เข้มแข็ง และธรรมาภิบาลมีความท้าทาย ซึ่งประเทศไทยก็อยู่ในกลุ่มนี้ ตํ่ากว่านี้อันดับ 121-180 ทุกประเทศจะมีปัญหาทั้งเรื่องการเติบโต ความเข้มแข็งของสถาบันภาครัฐ และธรรมาภิบาล ทำให้คอรัปชั่นรุนแรง

เห็นได้ว่าทุกอย่างไปด้วยกัน ธรรมาภิบาลของเจ้าหน้าที่รัฐทำให้สถาบันภาครัฐเข้มแข็ง ตัดสินใจได้ดี คอรัปชั่นมีน้อย ประเทศเจริญเติบโต ตรงกันข้าม ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐขาดธรรมาภิบาล สถาบันภาครัฐก็อ่อนแอ คอรัปชั่นมีมาก เป็นข้อจำกัดทำให้ประเทศไม่พัฒนา ดัวยเหตุนี้ประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลางส่วนใหญ่จะมีปัญหาธรรมาภิบาล ประเทศไทยก็เช่นกัน


แนวทางสร้างธรรมาภิบาลในภาครัฐให้เข้มแข็งได้อย่างไร

ธรรมาภิบาลเกี่ยวกับพฤติกรรมของคน และพฤติกรรมคนเปลี่ยนได้ การแก้ไขต้องทําทั้งสองส่วน คือ “ระบบและคน”

ระบบหมายถึง สร้างระบบงานให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการถ่วงดุลในการตัดสินใจ มีการควบคุมภายในและบริหารความเสี่ยง รวมถึงนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการทุจริตคอรัปชั่น

สําหรับประเทศเรา การใช้เทคโนโลยีในภาครัฐยังน้อยมากทั้งในการทำนโยบายสาธารณะและการต่อต้านการทุจริต แต่แก้ไขได้ เทคโนโลยีจะช่วยยกระดับทั้งคุณภาพและประสิทธิภาพของการทํานโยบายสาธารณะ และป้องกันปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นเพราะจะช่วยลด Painpoints หรือจุดอ่อนไหวที่มีในระบบราชการ เช่น ลดการติดต่อแบบFace to Faceในการติดต่อราชการของประชาชน คือไม่ต้องเจอกัน ลดการเรียกสินบน ลดการใช้ดุลยพินิจ ลดการปลอมแปลงหรือแก้ไขเอกสารราชการ เช่นโฉนดที่ดิน

สิ่งที่ต้องทําคือ 

หนึ่ง เอาข้อมูลของภาคราชการลงระบบดิจิตอลให้มากสุด เพราะเมื่อลงแล้วก็สามารถใช้เครื่องมือดิจิตอลต่างๆได้ 

สอง ระบบที่ประชาชนและธุรกิจติดต่อราชการให้เปลี่ยนมาใช้ดิจิตอลหรือออนไลน์หมด เช่นการจัดซื้อจัดจ้าง การประมูลงาน การติดตามการใช้งบประมาณของหน่วยงาน การขออนุญาตและให้ใบอนุญาต (E-Licensing) การชําระเงิน การเสียภาษี และระบบการร้องเรียนจากประชาชน 

สาม ใช้เทคโนโลยี่ AI ช่วยการทํานโยบายสาธารณะ เช่น วิเคราะห์ทางเลือกในการตัดสินใจ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงคอรัปชั่น เช่นดูความผิดปรกติในการจัดซื้อจัดจ้าง ประเมินความเสี่ยงคอรัปชั่นในโครงการขนาดใหญ่ที่จะเสนอครม วิเคราะห์ความเสี่ยงคอรัปชั่นในการใช้งบประมาณแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่แต่เป็นเทคโนโลยี่ที่หน่วยงานภาครัฐในต่างประเทศใช้กันแพร่หลายและจะเป็นทางออกให้กับเรา แต่ระบบราชการไทยยังไม่ทํา

ในเรื่อง “คน” การทําให้พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐมีธรรมาภิบาลทําได้โดย 

หนึ่ง สร้างความเข้าใจและตระหนักรู้เกี่ยวกับธรรมาภิบาลและพฤติกรรมที่ควรทําและไม่ควรทํา ด้วยการฝึกอบรมและมีระบบสื่อสารภายในที่จะช่วยพนักงานแก้ปัญหาเมื่อเจอสถานการณ์จริง เช่น ผลประโยชน์ขัดแย้ง 

สอง ชมเชยพฤติกรรมที่ดีและลงโทษพฤติกรรมที่ไม่ดีเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ให้สำคัญกับธรรมาภิบาลในการทําหน้าที่ 

สาม หัวหน้าองค์กรทุกระดับทําตนให้เป็นตัวอย่างในเรื่องธรรมาภิบาล คือ lead by example ถ้าองค์กรจะไม่คอรัปชั่น หัวหน้าก็ต้องไม่ทํา เป็นตัวอย่างให้เห็น รวมทั้งให้เวลากับเรื่องธรรมาภิบาลและพร้อมตัดสินใจถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น ไม่ใช่ซุกไว้ใต้พรม หรือไม่สนใจ


กำลังโหลดความคิดเห็น