xs
xsm
sm
md
lg

GC เปิด 4 จุดแข็ง “โรงกลั่นชีวภาพ” ลุย SAF เพิ่มกำลังผลิต 24 ล้านลิตร/ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



GC เผยโครงการโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ครบวงจร มีจุดเด่นนวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงใช้การแปรรูปน้ำมันพืชใช้แล้วสู่การผลิตเชื้อเพลิง SAF ชี้ไม่ต้องสร้างโรงงานขึ้นมาใหม่ นำร่องเฟสแรกกำลังการผลิต 6 ล้านลิตรต่อปี และจะขยายเป็น 24 ล้านลิตรต่อปีในอนาคต

นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล และผู้บุกเบิกการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) กล่าวว่า โครงการโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ครบวงจรซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในระยะแรกมีกำลังการผลิต SAF จำนวน 6 ล้านลิตรต่อปี หรือ สามารถผลิต Bio-Polymers/Chemecals 20,000 ตันต่อปี และในอนาคตจะขยายเป็น 24 ล้านลิตรต่อปี หรือ สามารถผลิต Bio-Polymers/Chemecals ได้ราว 80,000 ตันต่อปี




4 จุดแข็งโรงกลั่นชีวภาพ

1.นวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง : ผสานจุดแข็งทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยีของโรงกลั่นชีวภาพโดยใช้การแปรรูปน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) ร่วมกับน้ำมันดิบสู่การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องสร้างโรงงานขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถประหยัดการลงทุนเมื่อเทียบกับการสร้างโรงงานใหม่

ในระยะแรกมีกำลังการผลิต 6 ล้านลิตรต่อปี ถ้าในอนาคตขยายเป็น 24 ล้านลิตรต่อปี จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 15,000 ตันต่อปีในระยะแรก และ 60,000 ตันต่อปีในระยะที่สอง หรือสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการแปรรูปวัสดุชีวภาพ แต่ยังสร้างความมั่นใจว่าอุตสาหกรรมการบินไทยจะสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และมีส่วนร่วมสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

2.พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ : ความร่วมมือระหว่าง GC กับพันธมิตรสำคัญอย่างบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR การบินไทยหรือ TG และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ในการนำ SAF ไปใช้ นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาค พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดยมีแผนการขยายการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและขยายฐานการตลาด รวมถึงการทำงานร่วมกับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานทดแทน เพื่อผลักดันการพัฒนาและขยายตลาดผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

3.ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง : GC สามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นและเคมีภัณฑ์ขั้นสูง โดยการพัฒนากระบวนการ Co-processing ที่สามารถใช้งานร่วมกับหน่วยกลั่นเดิมได้ นำน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Bio-Chemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bio-Polymers) มูลค่าสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการใช้วัสดุทางเลือกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ PTTGC ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Bio-Propylene สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ พลาสติกแข็ง ของเล่นเด็ก และชิ้นส่วนยานยนต์ Bio-BD (Bio-Butadiene) ใช้ในยางรถยนต์และรองเท้ากีฬา และ Bio-PTA (Bio-Purified Terephthalic Acid) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET โดยขณะนี้มีตลาดปลายทางในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ตามลำดับ

นอกจากนี้ GC ยังต่อยอด Bio-Naphtha ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตเคมีภัณฑ์และพลาสติก Bio-PE (Bio-Polyethylene) สำหรับผลิตถุงพลาสติก ฟิล์ม และบรรจุภัณฑ์อาหาร และ Bio-MEG (Bio-Monoethylene Glycol) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET อีกด้วย

อีกทั้งโรงกลั่นชีวภาพของ GC ยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรและของเสียในประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณสมบัติเทียบเท่าวัสดุจากฟอสซิล แต่ปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญช่วยลดปัญหาของเสีย เพิ่มรายได้ให้กับชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม

สอดคล้องกับเป้าหมายของ GC ในการเป็นผู้นำธุรกิจคาร์บอนต่ำที่เติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ชีวภาพของ GC ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลด้านความยั่งยืนอย่าง ISCC PLUS (International Sustainability and Carbon Certification Plus) ซึ่งมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบชีวภาพและวัสดุหมุนเวียนในกระบวนการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ ช่วยให้แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าปลายทางสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมั่นใจ

4.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม : การลงทุนในโครงการนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน แต่ยังพัฒนาและส่งเสริมความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบทางชีวภาพที่ยั่งยืนไปจนถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ สนับสนุนเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร

“จะเห็นว่าโครงการ SAF ของ GC ไม่เพียงเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย แต่ยังช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินให้เข้าสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงระดับโลกในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน”
ผู้จัดการใหญ่ GC กล่าว






กำลังโหลดความคิดเห็น