เป้าหมายโรดแมป การจัดการขยะพลาสติก (พ.ศ.2561-2573) ช่วงที่ผ่านมาประมาณ 7 ปีแทบไม่บรรลุผล แล้วเป้าถัดไปอีก 2 ปีข้างหน้าจะเป็นจริงได้หรือ ? “นำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ร้อยละ 100 ภายในปี 2570” จับตา “วันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน 2568” กับแนวคิด “Beat Plastic Pollution : Ending global plastic pollution” ยังจะเดินหน้ารณรงค์ขอความร่วมมือต่ออย่างเดียวหรือ !?
Roadmap การจัดการขยะพลาสติกของไทย พ.ศ. 2561-2573 เกิดขึ้นมาจากแรงกระตุ้นของปรากฎการณ์ 3 อย่าง
1) ปริมาณขยะพลาสติกจำนวนมากในทะเล ซึ่งปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนโยบายมาก่อนหน้านี้
2) เหตุการณ์การสูญเสียสัตว์ทะเลจำนวนมากที่มี สาเหตุจากการกินขยะพลาสติกเป็นอาหาร ซึ่งในแต่ละปีทั้งที่แจงนับได้และที่ไม่ปรากฎสถิติ
และ 3) แรงผลักดันจากกลไกกระบวนการโลกว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ชี้วัดขยะพลาสติกทางทะเลของ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีปริมาณขยะพลาสติกหลุดออกสู่ทะเลมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลกในปี 2560 ก่อนที่จะดีขึ้นมาบ้างเมื่อสูงเป็นอันดับ 10 ของโลกในปัจจุบัน
หากพิจารณาเนื้อหาของปรากฎการณ์ดังกล่าว แรงกระตุ้นของการเกิด Roadmap มาจากเหตุการณ์ ผลกระทบภายนอกที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม (negative externality) ที่สังคมโลกตระหนัก แทนที่จะเป็นความมุ่งมั่นของการบริหารนโยบายสาธารณะของรัฐ (publicity governance) และกระบวนการมีส่วนร่วมทางนโยบายของพลเมืองไทย (society and policy pathway consciousness) ต่อวิกฤตมลพิษพลาสติก ตลอดจนการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมในประเทศโดยรวม
• กรีนพีซ สับเละ โรดแมป “ขาดรูปธรรม-ความมุ่งมั่น”
จากบทวิพากษ์ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก โดยกรีนพีซ ประเทศไทย ระบุว่า Roadmap การจัดการขยะพลาสติกเป็นเพียงการสร้างสัญลักษณ์ (Rhetorical Symbols) ในทางสากลว่าประเทศไทยเข้าร่วมข้อตกลงระดับภูมิภาคต่าง ๆ เช่น Bangkok Declaration on Combating Marine Debris และ SDG12 ว่าด้วยการสร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิต และการบริโภคที่ยั่งยืน รวมถึง SDG14 ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ทว่ายังขาดรูปธรรมและความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติการภายในประเทศ ดังนี้
-ผลที่คาดว่าจะได้รับใน Roadmap ย้อนแย้งโดยระบุว่า จะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องนำไปกำจัดได้ 0.78 ล้านตันต่อปี และเมื่อนำขยะพลาสติกไปเผาจะผลิตไฟฟ้าได้ 1,830 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง แต่ไม่กล่าวถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาขยะพลาสติก ข้อเท็จจริง คือ การเผาขยะพลาสติก 1 ตัน จะปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2,890 กิโลกรัม CO2 เทียบเท่า ดังนั้น หากนำขยะพลาสติก 0.78 ล้านตันไปเผา จะปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.26 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า หรือประมาณร้อยละ 11 ของการประมาณการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคการจัดการของเสีย ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
-ขาดรูปธรรมไม่มีรายละเอียดสนับสนุนการขับเคลื่อนและหน่วยงานรับผิดชอบกำกับดูแลนโยบาย รวมถึงผู้ผลิตสินค้าว่าต้องดำเนินการหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (extended producer responsibility : EPR) การส่งเสริมการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (green consumption) และหลักการ Responsible Production ในที่ระบุไว้ใน Roadmap การจัดการขยะพลาสติกอย่างไร
-ขาดการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม ส่วนการกำหนดมาตรการลดหย่อนทางภาษี และการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจะเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
-ข้อมูลที่ระบุใน Roadmap ไม่สะท้อนภาพรวมของทั้งประเทศ และสถานการณ์และความรุนแรงของปัญหาในระดับพื้นที่ ถึงแม้ว่า กรมควบคุมมลพิษร่วมกับ สถาบันพลาสติกจะดำเนินการศึกษาและจัดทำฐานข้อมูล Material Flow of Plastic ของประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลปี 2561 และ 2562 ศึกษาวงจรพลาสติกผลิตภัณฑ์เป้าหมาย แต่ไม่ระบุชัดเจนว่าวัสดุและขยะพลาสติกของแต่ละภาคส่วน และแต่ละพื้นที่มีขนาดของปัญหามากน้อยเพียงใด
>>>คลิกอ่านเพิ่มเติม https://www.greenpeace.org/thailand/publication/20908/2021-plastic-roadmap-report/
• การรณรงค์สร้างจิตสำนึก ไม่ตอบโจทย์
ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ที่ปรึกษาองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติ ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าเราแก้ปัญหาขยะได้ด้วยการรณรงค์สร้างจิตสำนึก เราคงแก้ปัญหานี้ได้นานแล้ว เพราะมีความพยายามสร้างจิตสำนึกและขอความร่วมมือมาทุกยุคทุกสมัย แต่ปัญหาขยะพลาสติกกลับรุนแรงขึ้นทุกทีจนกลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมระดับโลก และกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ สังคมและเศรษฐกิจ
“จากคุณสมบัติที่เพียบพร้อมของพลาสติก น้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่น ทนทาน ราคาถูก ทำให้พลาสติกซึ่งเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมน้ำมัน กลายมาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิตคนยุคนี้ ปัจจุบันมีการผลิตพลาสติกออกมามากกว่าปีละ 400 ล้านตัดและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นสองเท่าทุกๆ 10 ปี”
การที่พลาสติกย่อยสลายยากทำให้วัสดุประเภทนี้สร้างปัญหาไม่รู้จบเมื่อไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม เพราะพลาสติกจะแตกตัวเป็นไมโครพลาสติก และปนเปื้อนถาวรอยู่ในสิ่งแวดล้อม ประมาณกันว่าตั้งแต่เริ่มมีการผลิตออกมาใช้เมื่อกว่า 70 ปีก่อนมีปริมาณพลาสติกสะสมอยู่บนโลกนี้แล้วกว่า 8,000 ล้านตัน โดยกว่าครึ่งหนึ่งเพิ่งจะผลิตกันออกมาในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้เราพบไมโครพลาสติกปนเปื้อนในสภาพแวดล้อมแทบทุกแห่งตั้งแต่ยอดเขาไปจนถึงก้นทะเลที่ลึกที่สุด และยังสะสมอยู่สัตว์ทะเล น้ำดื่ม เกลือ หรือแม้แต่ในอากาศ
• ส่องผลลัพธ์ตามโรดแมป ล่องลอย
ใน Roadmap 12 ปี ตั้งเป้าหมายใหญ่ 2 เป้าหมาย คือ 1)การลดและเลิกใช้พลาสติกเป้าหมาย หรือพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง ด้วยการใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จำนวน 7 ชนิดภายในปี 2565 และ 2)การนำขยะพลาสติกเป้าหมาย กลับมาใช้ประโยชน์ หรือรีไซเคิลให้ได้ 100% ภายในปี 2570 ทั้งสองเป้าเป็นเป้าหมายที่มีความทะเยอทะยานมาก ถ้าทำได้จริงย่อมจะช่วยบรรเทาความรุนแรงได้มาก
การแบนพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง 7 ชนิด ได้กำหนดให้เลิกใช้ภายใน ปี 2562 จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ 1)พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม(plastic bottle cap seal) 2)ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมของสารประเภทอ็อกโซ่ (oxo) 3)ไมโครบีดจากพลาสติก (microbead) และกำหนดให้เลิกใช้ภายในปี 2565 จำนวน 4 ชนิด ได้แก่ 1) 2)กล่องโฟมบรรจุอาหาร 3)แก้วน้ำพลาสติก (แบบบาง) และ 4)หลอดพลาสติก (หลอดเครื่องดื่มทั่วไป)
ตามกรอบเวลาดังกล่าวซึ่งผ่านมาแล้ว 3-5 ปี เราไม่ควรจะเห็นพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง ทั้ง 7 ชนิดอีกแล้วในประเทศไทย แต่ความเป็นจริงกลับยังพบเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ว่ากันว่าเพราะไทยไม่มีมาตรการรองรับเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน และก็ยังไม่มีการเปิดเผยถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบายที่มีการประกาศเลิกใช้ไปแล้วแต่อย่างใด
• กม.EPR ต้องมา จัดการขยะตามลำดับขั้นต้องมี
กฎหมายเกี่ยวกับการจัดขยะในบ้านเรา ที่ผ่านมาเน้นเพียงการจัดเก็บ ขนส่ง และกำจัด ด้วยงบประมาณที่จำกัด แต่เมื่อปริมาณขยะมีมากมายมหาศาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงไม่มีความสามารถในการจัดการได้อย่างถูกต้อง
ข้อสำคัญ บ้านเรายังไม่มีกฎหมายที่ส่งเสริมให้ผู้ผลิตมีส่วนรับผิดชอบในการแก้ปัญหามากขึ้น ตามหลักการ EPR-Extended Producer Responsibility หรือเรียกสั้นๆว่า EPR คือหลักการในการขยายความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตให้ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วให้ถูกต้องตามหลักการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างกลไกให้ผู้ผลิตต้องมีระบบรับคืน (take-back) บรรจุภัณฑ์หรือสินค้าที่จัดการได้ยากภายหลังหมดอายุการใช้งาน และสร้างแรงจูงใจในการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (eco-design)มากขึ้น
ในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมจริงๆ CSR ที่มีอิมแพคมากที่สุด คือการพิจารณาผลกระทบต่าง ๆ ที่บริษัทสร้างขึ้นในกระบวนการผลิตของตัวเอง ลองไล่ supply chain ของตัวเอง และไล่ดูผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตั้งแต่ต้นทางของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงหลังขายผลิตภัณฑ์ออกไปแล้ว ว่าจะรับผิดชอบอย่างไรในการแก้ปัญหา เชื่อว่าบริษัทใหญ่ ๆ ต่างมีทรัพยากรและองค์ความรู้ที่สามารถทำได้อยู่แล้ว ถ้าตั้งใจจะทำจริงๆ
อีกข้อสำคัญ เราต้องมีการจัดการขยะตามลำดับขึ้น (Waste Management Hierarchy) คือ 1.ลดให้ได้มากที่สุด (Reduce) 2.ส่งเสริมการใช้ซ้ำ (Reuse) 3.พัฒนาระบบการคัดแยกเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล (Recycle) ก่อจะคิดถึงเรื่องเผาเป็นพลังงาน ซึ่งเป็น 4. การกอบกู้ (Recover) ทรัพยากรครั้งสุดท้าย และ 5. การทิ้งในระบบฝังกลบอย่างปลอดภัย (Disposal)
ตัวอย่างการยกร่างกฎหมายในการจัดการขยะแบบครบวงจรของญี่ปุ่น คือการผ่านกฎหมายพื้นฐานเพื่อสร้างสังคมแห่งการรีไซเคิล (Basic Law for Establishing Recycling-based Society) ตั้งแต่ปี 2543 พร้อมมีการกำหนดความรับผิดชอบของแต่ละภาคส่วนอย่างชัดเจน ตั้งแต่รัฐบาลส่วนกลาง รัฐบาลท้องถิ่น ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน
หากเรามีมาตรการทางกฎหมายที่เป็นรูปธรรม หมายถึงการยกร่างกฎหมายการจัดการขยะเชิงบูรณาการและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมกับกลไกในการกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเอาเครื่องทางเศรษฐศาสตร์ที่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเก็บค่าถุงพลาสติก การเก็บค่ามัดจำบรรจุภัณฑ์ การเก็บค่าทิ้งขยะตามปริมาณ ย่อมจะช่วยสร้างบรรทัดฐานทางสังคมใหม่ในการจัดขยะโดยไม่ต้องหวังพึ่งและขอความร่วมมือเพียงอย่างเดียว ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่สำเร็จ