จีนเปิดตัวรถไฟฟ้าใต้ดินขบวนแรกที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ สามารถวิ่งได้อย่างราบรื่นและเงียบ แถมยังช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
รถไฟฟ้าใต้ดิน มีชื่อว่า Cetrovo 1.0 Carbon Star Express ได้เริ่มให้บริการแล้ว (เมื่อ 10 ม.ค.2025) บนเส้นทางสาย 1 ระยะทาง 37 ไมล์ในเมืองชิงเต่า ในมณฑลซานตงทางตะวันออกของประเทศซึ่งนับเป็นรถไฟใต้ดินสายแรกของโลกที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์
รถไฟใต้ดินชิงเต่าสาย 1 มีระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร และมี 41 สถานี โดยทำหน้าที่เป็นแนวกระดูกสันหลังหลักเหนือ-ใต้ในชิงเต่า
ความพิเศษของรถไฟขบวนนี้คือตัวถังและโครงผลิตจากวัสดุผสมคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาและทนทาน คาร์บอนไฟเบอร์มักจะใช้ในการผลิตรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมและสมรรถนะสูง เช่น Ferrari และ Lamborghini ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการลดน้ำหนักในขณะที่ยังคงความแข็งแกร่งไว้
แถลงการณ์บนเว็บไซต์ของบริษัท CRRC Qingdao Sifang Co ผู้พัฒนารถไฟระบุว่า เป็นการอัปเกรดโครงสร้างรับน้ำหนักครั้งสำคัญ เนื่องจากคาร์บอนไฟเบอร์มีน้ำหนักเบากว่าโลหะทั่วไป เช่น เหล็กและอะลูมิเนียมมาก
บริษัทตั้งข้อสังเกตว่าจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำของระบบขนส่งทางรถไฟในเมืองของจีน และจะช่วยให้อุตสาหกรรมระบบรางในเมืองบรรลุเป้าหมาย "คาร์บอนคู่"
รถไฟนี้เบากว่ารถไฟใต้ดินสายอื่นประมาณ 11% ลดการใช้พลังงานลงประมาณ 7% ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 130 ตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของการปลูกต้นไม้ขนาด 100 เอเคอร์
นอกจากจะเบากว่าและประหยัดพลังงานแล้ว คาร์บอนไฟเบอร์ยังให้ความแข็งแกร่งที่สูงกว่า ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น และลดต้นทุนการดำเนินงานและการบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ยังทนต่อการกัดกร่อน
ความแข็งแกร่งของคาร์บอนไฟเบอร์มากกว่าเหล็กมากกว่าห้าเท่า ในขณะที่น้ำหนักของมันน้อยกว่าหนึ่งในสี่ของเหล็ก ทำให้เป็นวัสดุที่ดีเยี่ยมสำหรับรถรางน้ำหนักเบา ตามคำแถลงของ CRRC Qingdao Sifang Co.
วัสดุดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของตัวรถ ทนต่อแรงกระแทกได้มากขึ้น และยืดอายุการใช้งานของโครงสร้าง แต่ยังปรับปรุงการลดและการแยกการสั่นสะเทือน ส่งผลให้การทำงานราบรื่นขึ้น ลดเสียงรบกวน และขับขี่ได้สบายยิ่งขึ้น
อ้างอิง
https://www.knowesg.com/tech/china-flags-off-worlds-first-carbon-fibre-metro-train
https://www.globaltimes.cn/page/202501/1326641.shtml