ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีหลากหลายรูปแบบ สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านนับเป็นหนึ่งในธุรกิจ ที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง "แลนดี้ โฮม" มุ่งขยายตลาดให้มีฐานลูกค้า นำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการสร้างบ้านให้มีความสวยงาม ใช้ประโยชน์ได้จริง เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา และคุ้มค่าคุ้มราคา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เป็นมิติใหม่ๆ ของการสร้างบ้านในปัจจุบัน
พรรัตน์ มณีรัตนะพร Assistant Managing Director and Sales Director ผู้บริหารเจเนอเรชั่นที่ 2 บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัดเล่าถึงความเป็นมาของบริษัทว่า “เป็นธุรกิจครอบครัว ที่ก่อตั้งมาโดยคุณพ่อ คือ พิเชษฐ มณีรัตนะพร บริษัทก่อตั้งมา 36 ปี คุณพ่อจบวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไปต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่น การเริ่มก่อตั้งบริษัทรับสร้างบ้านคุณพ่อมีความคิดว่า บริษัทรับสร้างบ้านที่ครบวงจรในประเทศไทยยังมีน้อย จึงมีความคิดก่อตั้งบริษัทแลนดี้ โฮมขึ้นมา โดยมีการพัฒนานวัตกรรมการสร้างบ้านมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน”
สำหรับการเป็นผู้บริหารเจนเนอเรชั่นที่ 2 เข้ามาทำได้ 12 ปีแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบเป็น business development ดังนั้นหลักๆ ก็จะเป็นเรื่องของการขยายตลาด และก็งานขายเป็นหลัก งานที่รับผิดชอบเป็นความสนใจส่วนตัวอยู่แล้วทางด้านอสังหาริมทรัพย์ อาจเพราะคุ้นเคยตั้งแต่เด็กๆ เมื่อเข้ามาบริหารแบบเต็มตัว ได้นำ innovation เข้ามาใช้สำหรับการสร้างบ้านด้วย เพื่อให้เหมาะกับคนไทย อยากให้คนไทยได้บ้านที่มีนวัตกรรมสําหรับการอยู่อาศัยจริงๆ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน เป็น vision ของตัวเอง รวมทั้งต้องคิดในเรื่องของ strategy ในเรื่องการทําอย่างไรให้ขยายยอดขายของบริษัทให้เติบโต และดูในภาพรวมตลาดหลายๆ อย่าง เช่น ในเรื่องของ innovation ใหม่ๆ ที่จะเติมเข้ามาให้การสร้างบ้านของเราสมบูรณ์แบบมากขึ้น จะเน้นในเรื่องสุขภาพ และเรื่องการใช้ชีวิตในบ้านแบบ sustainability ตอนนี้ที่กําลังดูอยู่เป็นเรื่อง green building, carbon footprint
"เรากำลังร่วมมือโครงการวิจัยกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ลดขยะในการก่อสร้าง เลือกใช้วัสดุที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ในส่วนงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองเติบโตขึ้นมาประมาณ 5 เท่า ตอนที่เริ่มเข้ามาดูแลธุรกิจรายได้ของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 400- 500 ล้าน ปัจจุบันรายได้ไปถึง 2,000 กว่าล้าน”
พรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "สำหรับมุมมองการแข่งขันธุรกิจรับสร้างบ้าน เป็นธุรกิจที่เข้าง่าย ออกง่าย เพราะไม่ต้องใช้ทุนมาก ดังนั้น ถ้ามีทีม มีคนงาน ก็สามารถเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ การแข่งขันในตลาดถ้าในเรื่องของราคาเป็นหลัก การแข่งขันถือว่าค่อนข้างจะสูงมาก ดังนั้น เราก็เลยต้องสร้างความแตกต่างในตลาดการแข่งขัน โดยเน้นมุมมองเรื่องการสร้างบ้าน ไม่ใช่แค่เรื่องของราคาต่อตารางเมตร แต่ให้มองว่าการสร้างบ้านคือบ้านเป็นสิ่งที่เราต้องอยู่ไปทั้งชีวิตอาจจะ 10 ปี 20 ปี 30 ปี"
"เราใช้เวลาอยู่กับบ้าน อย่างน้อย 8 - 10 ชั่วโมงต่อวัน การสร้างบ้านกับเรา แตกต่างจากสร้างบ้านกับผู้รับเหมาทั่วไป หรือบริษัทรับสร้างบ้านทั่วไป บริษัทเรามีแบบบ้านให้เลือกหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ประมาณ 3 ล้านบาท ถึงประมาณ 50 - 60 ล้าน ซึ่งเป็นหนึ่งใน strategy การสร้างบ้านเราทําแบบมาตรฐานไว้เลย จ้างสถาปนิกมาออกแบบมีสไตล์ให้เลือก 300 กว่าแบบ ดังนั้น คนที่สร้างบ้านกับเราก็ไม่ต้องจ่ายค่าแบบบ้านอีก แต่ถ้าเขามีแบบของเขาอยู่แล้ว เราก็รับเหมือนกัน แต่ก็ต้องมาดูว่าเข้ากับโครงสร้างเราได้ไหม เราจะนำ innovation ของเราเข้าไปได้ไหม แต่อยากให้เป็น one stop service ผู้จะสร้างบ้านมาเลือกแบบจากเราได้เลย”
“ในเรื่องของมาตรฐานเรามี ISO รองรับ และเป็นบริษัทในกลุ่มสร้างบ้านที่มีทุนจดทะเบียนที่สูงที่สุด
ตอนนี้เราเป็นบริษัทรับสร้างบ้านติดอันดับท๊อป 1 ใน 3 ของบริษัทที่ลูกค้าเข้ามาดูเป็นอันดับต้นๆ ความแตกต่างคือนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการสร้างบ้าน เป็นจุดเด่น จุดขาย เช่น ในเรื่องของระบบอากาศ ใช้ระบบ cap plus ที่มีให้กับบ้านทุกหลัง ระบบอากาศนี้ เมื่อก่อนจะอยู่แต่ในโครงการราคาแพง ราคาสูง เพราะว่าค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่เราก็มาวิจัย ทํายังไงก็ได้ให้เข้ากับบ้านได้ทุกหลัง แม้กระทั่งหลังเริ่มต้น 3 ล้าน ก็มีระบบนี้ได้ ระบบอากาศถือเป็น total solution เช่น เราอยู่ในบ้าน อยู่ในห้อง เปิดแอร์ปิดประตูหน้าต่างหมด เราหายใจเข้าออก ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มา ซึ่งถ้าเราอยู่ไปนานๆ หรือเรานอนหลับ 8 ชั่วโมงขึ้นไป ก็เหมือนเราปล่อยอากาศเสียออกมาตลอด ห้องก็จะเต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะเราปิดหน้าต่าง ปิดประตู แอร์ก็ไม่ช่วยอะไร เพราะไม่ได้เติมอากาศใหม่"
"เราจึงติดตั้งระบบช่วยเติมอากาศบริสุทธิ์หมุนเวียนอากาศใหม่ของบ้านทุกหลัง เพื่อให้มีออกซิเจนที่เพียงพอ จะช่วยผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้หรือนอนแล้วรู้สึกไม่หลับ ตื่นมาเพลีย อาจมาจากอากาศไม่ถ่ายเทเต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วเราก็สูดกลับเข้าไปใหม่ เราสร้างนวัตกรรมระบบอากาศช่วยสร้างแรงดันบวก ให้กับห้องที่เรานอนจะทําให้พวกฝุ่น pm พวกเชื้อโรคเข้ามาในห้องไม่ได้ ซึ่งจะได้ออกซิเจนเข้ามาเติม และฝุ่นไม่เข้าบ้านเพราะว่าแรงดันข้างในห้องสูงกว่าแรงดันข้างนอก นอกจากนี้ นวัตกรรมที่เราทํามาเกือบ 20 ปี คือบ้านปลอดแมลงสาบเข้าบ้าน เหมาะกับบ้านในประเทศเรา รวมถึงดีไซน์พวกระบบสุขาภิบาลต่างๆ เช่น การดีไซน์ระบบท่อ ให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละแบบ"
"นอกจากนี้ เราเป็นเจ้าแรกที่นําระบบโครงสร้างสําเร็จรูปมาใช้กับการก่อสร้างบ้าน ทําให้การก่อสร้างรวดเร็วขึ้น มีมาตรฐานมากขึ้น ในราคาที่สมเหตุสมผล มีนวัตกรรมทุกอย่าง ที่ใช้งานได้จริงทุกฟังก์ชั่น และเหมาะกับคนไทย บ้านเราเป็นเมืองร้อนการสร้างบ้านต้องทําอย่างไรให้อากาศถ่ายเท เหมาะสมกับดินฟ้าอากาศของประเทศเรา”
ภาพรวมของธรุกิจอสังหาฯ แม้ว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี รวมทั้งความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร การแข่งขันธุรกิจรับสร้างบ้านที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ มองว่าตลาดธุรกิจรับสร้างบ้านยังโตได้อีกเยอะ สามารถขยายไปในไลน์อื่น ๆ ได้อีกปัจจุบัน ตลาดของเราส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเป้าหมายที่จะขยายตลาดไปยังเมืองใหญ่ในภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนครราชสีมา เชียงใหม่ ภูเก็ต เป้าหมายปีหน้าจะขยาย market share รวมทั้งการเพิ่ม portfolio product
ต้องเข้าถึงหลากหลายกลุ่ม ตั้งเป้าจะเพิ่มอย่างน้อย 10 เปอร์เซนต์ ของรายได้เดิม 2,500 ล้าน
สำหรับโครงการใหม่ตอนนี้กําลังเริ่มทำแบรนด์เกี่ยวกับ interior คือสร้างบ้านกับเรา สามารถตกแต่งบ้านกับเราไปพร้อมกันได้เพิ่มความสะดวกสบาย ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าไปด้วยในตัว แล้วก็โฟกัสในเรื่องของความยั่งยืน มองว่าจะเพิ่ม market share และ diversify ในเรื่องอะไรบ้าง นอกจากนี้ยังเพิ่มเรื่องการขายโครงสร้างบ้านสําเร็จรูป เรามีโรงงานโครงสร้างบ้านสำเร็จรูปที่ใช้กับการสร้างบ้านของเราอยู่แล้ว แต่จะขยายตลาดการขายโครงสร้างบ้านสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นมา
“การเข้ามาทำงานของครอบครัวต้องใช้ความรู้ประกอบกันหลายออย่าง จบเศรษฐศาสตร์ไฟแนนซ์ ไม่เคยเรียนเรื่องการบริหารมาก่อน พอทํางานประมาณ 4- 5 ปี เข้ามาเรียน EMBA ในปี 2017 ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เรียนเรื่อง leadership ซึ่งสําคัญมาก เพราะเราต้องมีทีมที่แข็งแรงในแต่ละเรื่อง แล้วเราจะนำทีมยังไง เป็นเรื่อง leadership skills ที่นำมาประยุกต์ใช้ได้ทันที และเรียนเรื่อง business strategy ต่างๆ รวมทั้งเรื่อง network ได้รู้จัก เพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง มาจากหลากหลายธุรกิจ เราเรียนเมืองนอกมาตลอด พอมาทำธุรกิจของครอบครัว ก็ต้องขยาย network เป็นสิ่งที่ช่วยได้เยอะในการทํางาน” พรรัตน์ ทิ้งท้าย