ทส.และภาคีเครือข่าย อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน หรือ “ทสม.” จัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมคู่ขนาน เมื่อวันสิ่งแวดล้อมไทยและวันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติ ประจำปี 2567 บอกให้รู้ ก้าวต่อไปที่จะขับเคลื่อนผ่านทุกภาคส่วนเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะพลังจาก ทสม.ที่มีสมาชิกร่วม 3 แสนคนทั่วประเทศ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) หรือที่เรียกกันว่ากรมลดโลกร้อน ชูแนวคิด “Impact – Driven Policy: Empowering Action for Change รวมพลังลดโลกเดือด: เปลี่ยนเรา เปลี่ยนโลก” เปิดเวทีนำเสนอผลการประชุม COP29 เพื่อยกระดับความร่วมมือ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยสู่เป้าหมายระดับโลก เมื่อ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์
ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของวันสิ่งแวดล้อมไทย สืบเนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงห่วงใยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทยและโลกที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น ให้ถือเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และนับเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ที่ทส. ได้น้อมนำพระราชดำรัสมาเป็นแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ โดยมุ่งเน้นให้เครือข่ายภาคประชาชน เครือข่าย ทสม. เป็นฟันเฟืองสำคัญในการส่งเสริมการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ ส่งผลต่อเนื่องไปสู่การดำเนินงานร่วมกับประชาคมโลก
“ผมอยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก ที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบในขณะนี้ และจะเกิดต่อเนื่องไปอีกในระยะยาว นั่นทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับการดำเนินงาน ตามพันธกรณีภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีส โดยเร่งสร้างความพร้อมของการดำเนินงานในมิติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065 รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแก่ทุกภาคส่วน”
.
ดร. เฉลิมชัย ย้าถึงแนวทางดำเนินงานของประเทศไทยนับจากนี้ว่า มุ่งมั่นให้ภาครัฐเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยมีภาคเอกชน และภาคประชาชน เครือข่าย ทสม. เป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับพื้นที่ มีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งและชัดเจน ให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปลุกพลัง ทสม.เป็นโซ่ข้อกลาง
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “ทสม.” เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ตลอดจนเป็นผู้ประสานงานในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน หน่วยงานของรัฐ และองค์กรท้องถิ่น ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด จนเกิดผลงานอย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน มีสมาชิก ทสม. จำนวน 290,976 คน ครอบคลุมทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมฯ ได้สร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับเครือข่าย ทสม. เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการส่งเสริมบทบาทให้เครือข่าย ทสม. เป็น “โซ่ข้อกลาง” เชื่อมประสานการทำงานระหว่างภาครัฐและประชาชนในพื้นที่ให้มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และมีความตระหนักต่อคุณค่า ความสำคัญของฐานทรัพยากรต่าง ๆ ในชุมชน จนนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและมีวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยดำเนินการ ตามหลัก 4 ป. ได้แก่ ประสาน ประชาสัมพันธ์ ปฏิบัติ และประเมินผล พร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องตามบริบทของพื้นที่ตนเอง
การดำเนินงานในปี 2567 กรมฯ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของเครือข่าย ทสม. โดย 1) ปรับปรุงระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างและภารกิจ ของกรมฯ ภารกิจด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม 2) ปรับปรุงฐานข้อมูล ทสม. ให้เป็นภาพรวมของกรมฯ 3) การโอนเงินสนับสนุน การพัฒนาเครือข่าย ทสม. 76 จังหวัด 4) ถอดบทเรียนเสริมองค์ความรู้ สู่ผลสำเร็จของ ทสม. และเครือข่าย ทสม. ดีเด่น 5) การอบรม/ประชุม เชิงปฏิบัติการ สร้างการเรียนรู้ การขับเคลื่อนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และขยายองค์ความรู้ทั้งเชิงประเด็นและเชิงพื้นที่ ในมิติด้านการปรับตัวและการลดก๊าซเรือนกระจก 6) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่าย ทสม. ผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 7 ) การสร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง ไฟป่า ลดหมอกควัน 8) การส่งเสริมบทบาทและพัฒนาศักยภาพเครือข่าย ทสม. โดย “ส่งเสริมเครือข่าย ทสม. สู่สังคมคาร์บอนต่ำ” 9) การส่งเสริมให้เครือข่าย ทสม. เข้าถึงแหล่งทุนด้านสิ่งแวดล้อม (กองทุนสิ่งแวดล้อม) และ 10) การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ/พื้นที่ขยายผล เพื่อขอรับใบรับรอง LESS
สำหรับในปี 2568 กรมลดโลกร้อน จะยังคงมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและบูรณาการความร่วมมือของเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยมี 5 เป้าหมาย ได้แก่ 1) เครือข่ายและภาคีทุกภาคส่วนสามารถขับเคลื่อนกิจกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้อย่างต่อเนื่อง 2) มีพื้นที่ที่มีการขับเคลื่อนกิจกรรมอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง 3) มีเครือข่ายในการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 4) ประชาชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกิจกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และ 5) ประชาชน ชุมชน มีพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ในการดำเนินโครงการในปี 2568 จะต้องตอบโจทย์สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องเวทีโลก COP 29 อีกทั้งจำเป็นต้องทำงานในเชิงรุกเพื่อแสดงพลังร่วมมือ พร้อมกำหนดแนวทางร่วมกัน ทั้งประเด็นการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบูรณาการการดำเนินงานในระดับพื้นที่ กลไกทางการเงิน รวมถึงการสื่อสารกับภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อกระตุ้นและสร้างกระแสให้สังคมรับรู้ถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ