ภารกิจการปั้นแอปพลิเคชัน AIA+ (เอไอเอ พลัส) ให้เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลครบวงจรสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ที่ครบเครื่อง จบด้วยบริการด้านการจัดการกรมธรรม์ การดูแลสุขภาพ และการแลกรับสิทธิประโยชน์ไว้ในแอปเดียว ซึ่งต่อยอดในการรณรงค์ลดการใช้กระดาษภายใต้แนวคิดธุรกรรมไร้กระดาษ
ถึงวันนี้นับเป็นเวลากว่า 86 ปีที่ เอไอเอ ประเทศไทย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนในสังคมไทย พร้อมความมุ่งมั่นสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีผู้ถือกรมธรรม์ เอไอเอ กว่า 8 ล้านกรมธรรม์ในประเทศไทย
นายจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังแคมเปญ AIA+ Go Green ว่าอยู่ภายใต้โจทย์ใหญ่ในการดูแลรักษาข้อมูลลูกค้าให้ปลอดภัย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ผ่านการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาสร้างประสบการณ์ที่ลื่นไหลและตรงใจมากที่สุด
พร้อมตั้งเป้าด้านความยั่งยืนกับแคมเปญ AIA+ Go Green ที่ AIA+ ชวนลูกค้าเปลี่ยนมาทำธุรกรรมผ่านแอปเพื่อลดการใช้กระดาษและต่อยอดเป็นการปลูกต้นไม้รวม10,000 ต้น ในปี 2568
ESG ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มหัวใจสีเขียว
รู้หรือไม่! ถ้าลูกค้าของเราเปลี่ยนมาทำธุรกรรมผ่านแอปนี้จะช่วยลดการใช้กระดาษมหาศาลแค่ไหน
เขาเล่าว่าเอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้านำเทคโนโลยียุคดิจิทัลเข้ามาใช้ในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายแล้ว อีกมิติที่สำคัญคือ การลดการใช้ทรัพยากรในทุกกระบวนการดำเนินงานของบริษัท โดย เอไอเอ ตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ที่ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลก ทั้งยังตระหนักถึงปริมาณเอกสารจำนวนมหาศาลที่ธุรกิจประกันต้องพิมพ์เพื่อส่งมอบให้ลูกค้าในทุก ๆ ปี บริษัทจึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการรณรงค์ลดการใช้กระดาษภายใต้แนวคิดธุรกรรมไร้กระดาษ (Paperless Transactions) “เมื่อกลางปี 2567 ที่ผ่านมา AIA+ ได้ประกาศแคมเปญครั้งใหญ่ AIA+ Go Green ซึ่งช่วยขับเคลื่อนแนวปฏิบัติ ESG ของ เอไอเอ เราเชิญชวนลูกค้าให้เปลี่ยนมาใช้ e-Document และ e-Receipt ผ่านแอป AIA+ ซึ่งจะช่วยลดการใช้กระดาษได้เป็นจำนวนมาก แคมเปญนี้จะช่วยสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเชิญชวนให้ลูกค้ามีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี”
นอกจากนี้ เพื่อขยายความสำเร็จของโครงการ เขาและทีมผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยพนักงานอาสาสมัคร จะร่วมกันปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น ในช่วงต้นปี 2568
ความท้าทายในการสร้างซูเปอร์แอปที่รองรับทุกมิติของการจัดการสุขภาพ
เมื่อปี 2565 เอไอเอ ประเทศไทย ได้สร้างการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญกับเปิดตัวซูเปอร์แอป “AIA+” (เอไอเอ พลัส) ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการและสิทธิประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกรมธรรม์และการดูแลสุขภาพที่สะดวกขึ้นภายในแอปเดียว นับเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านประกันชีวิตในเมืองไทยของ เอไอเอ โดยนอกจากผู้ถือกรมธรรม์แล้ว บุคคลทั่วไปยังสามารถลงทะเบียนเข้าอ่านบทความเพื่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน
เขาอธิบายว่า “AIA+ ไม่ใช่แค่แอปที่ลูกค้าไว้ใช้จัดการกรมธรรม์อย่างเดียว เราสร้าง AIA+ ให้เป็นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมทุกมิติด้านสุขภาพ ตั้งแต่ธุรกรรมประกัน การดูแลสุขภาพ ไปจนถึงการให้บริการที่ปรับให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน เพื่อมอบความสะดวกในการดูแลสุขภาพให้ลูกค้าในทุกช่วงจังหวะชีวิต เรานำเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์เชิงลึกมาใช้พัฒนาฟีเจอร์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและสอดรับกับเทรนด์ยุคใหม่ เช่น การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีเวลาจำกัด AIA+ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สแกนใบหน้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่นกัน สามารถวัดและติดตามดัชนีมวลกาย (BMI) ความดันโลหิต ชีพจร และระดับความเครียดได้ง่าย ๆ โดยทุกบริการที่เราพัฒนาขึ้น เรายึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โจทย์หลักคือทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
ความปลอดภัยของลูกค้าสำคัญที่สุด
จุฑาภัทร เผยมาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดของแอป AIA+ ว่า “เราตระหนักดีว่าลูกค้าได้มอบความไว้วางใจให้เราเก็บรักษาข้อมูลละเอียดอ่อน โดยเฉพาะข้อมูลด้านสุขภาพ เราจึงให้ความสำคัญสูงสุดกับระบบความปลอดภัยด้านข้อมูล เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การจัดตั้งทีมด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Incident Response Team) โดยเราได้กำจัดทุกช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในทุกขั้นตอนการพัฒนาซอฟต์แวร์ พร้อมกับการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (Multi-Factor Authentication) และการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพเพื่อยกระดับความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบขึ้นไปอีกขั้น”
เขาทิ้งท้ายว่า “เราพัฒนา AIA+ ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเทรนด์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ดังนั้น ในอนาคต เราพร้อมที่จะเติบโตและเสริมแกร่งอีโคซิสเต็มนี้ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในทุกมิติของการพัฒนา เรามุ่งหวังที่จะเป็นซูเปอร์แอปที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุมและร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่คนไทยและสังคมต่อไป"