xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อภูมิอากาศโลกเปลี่ยน ความมั่นคงอาหารไทยต้องปรับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช” ฉายภาพภูมิรัฐศาสตร์โลก-ภูมิอากาศโลก กระทบรุนแรงต่อความมั่นคงด้านอาหารของโลกและไทย แนะแนวทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่จะยกระดับความสามารถการผลิตทั้งด้านคุณภาพและปริมาณให้กับประเทศไทย

ปลายเดือนที่ผ่านมา (23 ก.ย.2567) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ จัดเสวนาสร้างความตระหนัก รับมือต่อการเปลี่ยนแปลง ในการประชุมประจำปี 2567 หัวข้อ “พลิกความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สร้างโอกาสประเทศไทย” ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์

รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา นำเสนอผลจากภูมิรัฐศาสตร์โลกกระทบต่อ “ความมั่นคงด้านอาหารของโลกและของไทย”เผยแนวทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่จะยกระดับความสามารถในการผลิตทั้งด้านคุณภาพและปริมาณเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศไทยและสำหรับการแข่งขันในตลาดโลก



ภูมิรัฐศาสตร์-สภาวะภูมิอากาศโลกที่เข้าขั้นวิกฤต

รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช กล่าวว่า ทุกวันนี้สภาพภูมิอากาศและภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้หลายภาคส่วนในโลกใบนี้ได้รับผลกระทบ ถ้าย้อนมองในแง่ผลผลิตทางการเกษตรประเทศไทย มีข้อมูลการวิจัย พบว่าในปี 2050 ผลผลิตต่อไร่ของข้าวและทุเรียนประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง 10-14 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยผลิตทุเรียนและข้าวอันดับต้นๆ ของโลก

นั่นเป็นผลกระทบจากปัจจัยแปรผันทางด้านภูมิศาสตร์ ที่ตั้งทรัพยากรธรรมชาติและสงคราม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน สงครามรัสเซีย-ยูเครน ช่วงที่ผ่านมาซึ่งยังไม่จบ เห็นได้ชัดว่า ราคาน้ำมันดิบโลกมีความผันผวน ส่งผลต่อราคาน้ำมันในไทยสูงขึ้น เนื่องจากไทยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานหลัก และใช้พลังงานหมุนเวียนน้อยกว่าหลายประเทศ

เขากล่าวถึงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อไทยเมื่อไม่นานนี้ "พายุยางิ ทำให้น้ำท่วมภาคเหนือ เสียหายอย่างประเมินมิได้ ส่วนในเรื่องพลังงาน ยกตัวอย่างข้อตกลงปารีสจะทำให้หลายประเทศเตรียมออกมาตรการนำเข้าสินค้าคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะทำให้มูลค่าราคาสินค้าไทยสูงขึ้น"

นโยบาย NET ZERO ในระบบอาหาร จะทำให้อนาคตต้นทุนการปล่อยคาร์บอนจะไม่ฟรีอีกต่อไป ถ้าต้องการส่งออกสินค้าการเกษตรไทยกว่าจะไปถึงตลาดโลกราคาน่าจะสูงขึ้น

ส่วนเรื่องการใช้พลังงาน ตามสถิติ ปี 2565 ไทยใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่อันดับที่ 134 ของโลกประมาณ 15 % ปริมาณต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ใช้พลังงานหมุนเวียนประมาณ 29 % ขณะที่ 65 ประเทศใช้พลังงานหมุนเวียนเกิน 50% ยกตัวอย่างบราซิล ผู้ผลิตพลังงานของโลกใช้พลังงานหมุนเวียน 80 % ส่วนเวียดนามใช้พลังงานหมุนเวียนเกิน 50 % และอีกหลายประเทศ

“ในอนาคต ถ้าไทยไม่ปรับตัวเรื่องพลังงานย่อมจะเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ราคาสินค้าเกษตรและอาหารจะสูงขึ้นแน่นอน เพราะปัจจุบันความต้องการใช้ไฟฟ้ายังผูกขาดกับผลผลิตมวลรวมของชาติ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม"

สภาพัฒน์ จัดเสวนาสร้างความตระหนัก รับมือต่อการเปลี่ยนแปลง ในการประชุมประจำปี 2567 หัวข้อ “พลิกความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สร้างโอกาสประเทศไทย”

น้ำท่วมนาข้าวในช่วงเก็บเกี่ยว

น้ำท่วมภาคเหนือ 2567

หน้าแล้ง ไฟป่า เกิดขึ้นแทบทุกปี เนื่องจากบนภูเขาถูกเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพด
ไทยจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสอย่างไร

1. นโยบายการเกษตรไทยต้องเปลี่ยน จากรูปแบบการช่วยเหลือเยียวยาแบบให้เปล่าจากภาครัฐและไม่มีเงื่อนไข ต้องเปลี่ยนเป็นแบบมีเงื่อนไข ให้ความรู้เและหลักประกันความเสียหายเกษตรกร เพื่อจูงใจให้หันมาใช้เทคโนโลยีการเกษตรแบบเท่าทันการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

"งานวิจัยในต่างประเทศ การช่วยเหลือแบบให้เปล่าไม่กระตุ้นให้เกษตรกรปรับตัวในการยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ปัจจุบันรัฐไทยเน้นให้เงินช่วยเหลือ แต่ให้ความรู้น้อยไป

สิ่งที่เราต้องมีคือ เทคโนโลยีเท่าทันภูมิอากาศ ถ้าปรับเปลี่ยนเรื่องนี้จะช่วยลดความเสียหายทางการเกษตร และปัญหาภูมิอากาศ อย่างการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งสามารถเพิ่มผลผลิตการเกษตร ลดการใช้น้ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการให้ปุ๋ยตามการวิเคราะห์ค่าดิน"

2. ควรเพิ่มจำนวนที่ปรึกษาทางการเกษตร "ต้องยอมรับว่าประเทศไทยขาดแคลนที่ปรึกษาทางการเกษตรที่เท่าทันวิกฤต ทำไมผมเรียกวิกฤต นั่นเพราะภาครัฐที่เป็นผู้รู้ทางการเกษตรมีจำนวนแค่หลักหมื่นต้นๆ แต่แรงงานเกษตรมีกว่า 12 ล้านครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรการศึกษาน้อย"

จึงมีคำถามว่า ผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาการเกษตรจำนวนหลักหมื่นต้นๆ จะส่งผ่านความรู้อย่างไรให้เกษตรกร 12 ล้านครัวเรือน  ดังนั้นจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ผมคิดว่าการประสานกับหน่วยงานการศึกษาให้มาทำงานร่วมกับคนในพื้นที่จะช่วยลดปริมาณบุคลากรภาครัฐได้"

3. จัดตั้งหน่วยงานทำหน้าที่บูรณะการในระบบอาหาร หน่วยงานนี้จะต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในระบบอาหาร เพื่อขับเคลื่อนนโยบายส่วนกลางสู่พื้นที่อและประเมินผลกระทบความเสี่ยงในอนาคต รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์

"ยกตัวอย่างกระทรวงเกษตรและอาหารของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้หรือหลายประเทศประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีกระทรวงเดียว ดูแลประสานทั้งระบบ แต่ประเทศไทยขาดการบูรณาการ เนื่องจากมีหน่วยงานยิบย่อย ต่างคนต่างทำ

ปัจจุบันปัญหาความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานไหนดูแลชัดเจน และไม่มีหน่วยงานเชื่อมโยง ซึ่งผมมองว่าวิกฤติมากในเรื่องการบริหารจัดการภาพรวม ทำให้ทำงานลำบาก ในอนาคตต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้"

4. ควรทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สารเคมีกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช รวมถึงมลพิษต่างๆ ตลอดห่วงโซ่สินค้าเกษตรและอาหาร

“ในอนาคตเรื่อง การปล่อยคาร์บอนในหลายมิติจะถูกใช้เป็นมาตรฐานกีดกันการค้าและการลงทุน ไทยต้องปรับตัว ระบบตรวจสอบย้อนกลับ เกษตรกรแบบเอสเอ็มอียังทำไม่ได้ และระบบธุรกิจขนาดใหญ่ก็จัดทำลำบาก เรื่องนี้ควรเป็นบทบาทภาครัฐ ภาคเอกชนและเกษตรกรร่วมมือกัน”

5.วิกฤตบุคลากรที่ทำงานด้านการประเมินผลคาร์บอนเครดิต เนื่องจากต้นทุนการทำคาร์บอนเครดิตราคาสูงมาก และคนทำงานในบริษัทที่ทำเรื่องตรวจสอบประเมินผลมีจำนวนไม่ถึงหลักสิบ แต่เรามีพื้นที่การเกษตร 150 ล้านไร่ ครัวเรือนการเกษตร 9 ล้านครัวเรือน

ดร.วิษณุ เสนอแนะการยกระดับความมั่นคงทางอาหาร เพื่อพลิกวิกฤตดังกล่าวให้เป็นโอกาส "ส่วนคำถามว่าถ้าประเทศไทยไม่ทำเรื่องนี้แล้ว ขอตอบว่า ในอนาคตเงินจำนวนมากก็จะถูกจ่ายให้บริษัทต่างประเทศ เพื่อทำระบบคาร์บอนเครดิต และนี่เป็นโอกาสที่จะสร้างบุคลากรไทย เราต้องทำด้านนี้ เพื่อไม่ให้เงินรั่วออกนอกประเทศ"


กำลังโหลดความคิดเห็น