ความยั่งยืนเป็นสิ่งที่หลายองค์กรทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในปัจจุบัน ภาคธุรกิจต่างก็ปรับตัวใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น หากกล่าวถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยหลักที่ทำให้ภาคธุรกิจรวมถึงผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มหันมาให้ความใส่ใจในเรื่องนี้ คือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตรวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลงทุกที ในขณะเดียวกันผู้บริโภคต่างก็ตระหนักและตื่นตัวกับเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น
ผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในปี 2565 ระบุว่าผู้บริโภคกว่า 71.4% สนใจที่จะหันมาเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากที่สุด ได้แก่ ปัญหามลพิษ เช่น น้ำเสีย ฝุ่น PM 2.5 และขยะมูลฝอยที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นเริ่มปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การลดหรืองดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้มากขึ้น1 ด้วยเหตุนี้ ภาคธุรกิจจึงต้องปรับตัวและมีแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนและจับต้องได้มากยิ่งขึ้น
บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคและตั้งเป้าหมายเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนในทุกมิติทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยความยั่งยืนถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ “Must Win Battle” ของบริษัทฯ เน้นการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามค่านิยมองค์กร “การเติบโตอย่างยั่งยืน (Growing for Good)”เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็น “บริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง” (the Most Beloved Beverage Company in Thailand with True Gemba Centricity)
4 แนวทางสู่ความยั่งยืนของซันโทรี่เป๊ปซี่โค ประเทศไทย
1. ความยั่งยืนด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ (Water Sustainability) ที่ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เราตระหนักดีว่า “น้ำ” เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ล้ำค่า เป็นหัวใจสำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของเรา จึงมุ่งมั่นบริหารจัดการน้ำอย่างจริงจังในทุกด้าน โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อลดการสูญเสียน้ำในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ขั้นตอนการล้างทำความสะอาด การหล่อเย็น การผสม ไปจนถึงการบรรจุผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้เราใช้น้ำน้อยกว่า 1.4 ลิตร ในการผลิตเครื่องดื่ม 1 ลิตร นับเป็นการสูญเสียน้ำในกระบวนการผลิตที่น้อยมากและถือได้ว่าโดดเด่นที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม พร้อมทั้งติดตั้งระบบตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำ และมีระบบบำบัดน้ำเสียประสิทธิภาพสูงภายในโรงงาน ทำให้สามารถหมุนเวียนน้ำที่ใช้แล้วกว่า 80% กลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ในส่วนที่ไม่ได้สัมผัสอาหาร
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรน้ำและส่งเสริมการอนุรักษ์น้ำแก่เยาวชนผ่านโครงการมิซุอิกุ (Mizuiku) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงมีโครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ อาทิ การสร้างฝาย ปลูกหญ้าแฝก และฟื้นฟูระบบนิเวศของป่า เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและส่งเสริมให้คนในชุมชนพื้นที่ต้นน้ำช่วยกันดูแลและอนุรักษ์แหล่งน้ำในท้องถิ่นของตน พร้อมกันนี้เรายังเปิดโอกาสให้พนักงานได้เข้าร่วมกิจกรรม “คน-น้ำ-ดี” ในทุก ๆ ปี เพื่อนำความรู้สู่การลงมือปฏิบัติ และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังต่อไป
2. ความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์ (Packaging Sustainability) ส่งเสริมการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้โดยซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เลือกใช้ขวดพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) แบบใส ไม่มีสี เป็นขวดบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มทุกชนิดของบริษัท โดยข้อดีของบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้คือ สะอาด ปลอดภัย มีน้ำหนักเบา แข็งแรง ไม่เปราะแตกง่าย และที่สำคัญสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% นอกจากนั้น ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีผลิตรวมถึงออกแบบบรรจุภัณฑ์ร่วมกับคู่ค้า (suppliers) จนเกิดเป็น ขวดพลาสติก PET น้ำหนักเบา (Lightweight PET Bottles) ที่ลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ในการผลิตขวดลง ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้ รวมถึงนำพิมพ์สีบนฝาขวดเครื่องดื่มออก เพื่อช่วยลดการใช้สารเคมีในการล้างทำความสะอาดและทำให้การรีไซเคิลง่ายขึ้นด้วย
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ประกาศเริ่มใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100% (ขวด rPET 100%) เป็นเจ้าแรกในตลาดเครื่องดื่มไทย นำร่องด้วยเครื่องดื่มเป๊ปซี่ ขนาด 550 มิลลิลิตร และ 1,450 มิลลิลิตร และชาพร้อมดื่มทีพลัสทุกรสชาติ ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ซึ่งจากความพยายามทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลให้บริษัทฯ สามารถลดการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin PET) ได้มากกว่า 5,800 ตัน2 ตลอดจนสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะและบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วอย่างเหมาะสม และเดินหน้าส่งเสริมการคัดแยกและเก็บกลับขวดพลาสติก PET ที่ใช้แล้วอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อรีไซเคิลหมุนเวียนกลับมาเป็นขวดใหม่ หรือที่เรียกว่า “Bottle-to-Bottle Recycling” นับเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและยังช่วยส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วย
3. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction) มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตและการขนส่ง รวมถึงเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน และนวัตกรรมการผลิตสีเขียวในโรงงานและคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ การวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานไฟฟ้าและการเผาไหม้ทางตรง ได้ 9%3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังคงเดินหน้าพัฒนากระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
4. การช่วยเหลือสังคม (Social Contributions) ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ดำเนินธุรกิจเคียงข้างคนไทยและร่วมช่วยเหลือสังคมไทยตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม ภัยแล้ง หรือวิกฤตโรคระบาดอย่างการแพร่กระจายของโควิด-19 บริษัทฯ ดำเนินโครงการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คนไทยทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติโดยเร็วนอกจากนั้นยังส่งเสริมให้พนักงานได้แสดงจิตอาสาในการช่วยเหลือชุมชนและสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรม“Helping Hands” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 โดยนำเงินที่ได้จากการระดมทุนของพนักงานในองค์กรไปช่วยเหลือและทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ให้แก่สังคม อาทิ การติดตั้งระบบกรองน้ำสะอาดให้กับน้อง ๆ นักเรียนในโรงเรียนที่ขาดแคลน การมอบอุปกรณ์การเรียนและเงินสนับสนุนเพื่อซ่อมแซมพื้นอาคารเรียนที่ชำรุด การปรับปรุงสนามเด็กเล่น และสร้างลานกิจกรรม "ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค" เพื่อให้โรงเรียนและชุมชนได้ใช้ประโยชน์ เป็นต้น
โดยแนวทางสู่ “ความยั่งยืน” ของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม การเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่คือเส้นทางสำคัญที่จะสร้างและส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นถัดไป