เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ “ลอรีอัล กรุ๊ป” เริ่มต้นและปฏิบัติต่อเนื่องมา ตามเป้าหมาย “การสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก” หรือ “Create the Beauty that Moves the World” ทุกแบรนด์ในเครือลอรีอัลมุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของการผลิตผลิตภัณฑ์ โดยปรับแนวทางการบริหารจัดการ การผลิต ออกแบบสูตรและบรรจุภัณฑ์บนพื้นฐานของความยั่งยืนมายาวนาน ด้วยการตั้งเป้าหมายที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets) และเคารพต่อ "ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก” หรือ “Planetary Boundaries" หรือขีดจำกัดที่โลกสามารถรับไหวอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานหมุนเวียนในสถานประกอบการ การรีไซเคิลน้ำและใช้ระบบหมุนเวียนในโรงงาน บรรจุภัณฑ์ การบรรจุหีบห่อ ได้แก่ การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อลดการใช้พลาสติก สูตรที่เน้นใช้ส่วนผสมจากธรรมชาตฺิ ที่มีการนำ Green Science หรือวิทยาศาสตร์เพื่อความยั่งยืนมาใช้ การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล รวมไปถึงแผนงานในอนาคตเพื่อให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน อาทิ การให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยเริ่มจากแบรนด์การ์นิเย่ และตรวจสอบให้ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลมาจากแหล่งชีวภาพหรือแร่ที่มีมาก ไม่ขาดแคลน ให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด การไม่ทดลองกับสัตว์ รวมทั้งผลักดันแนวทางเพื่อลดการทดลองกับสัตว์ในอุตสาหกรรมความงาม เช่น บุกเบิกโครงสร้างผิวหนังจำลองเสมือนจริง
ด้วยการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน และล่าสุดตั้งเป้าหมายความยั่งยืนสำหรับปี 2030 ด้วยโปรแกรม “L’OREAL FOR THE FUTURE” ลอรีอัล มีการทำงานที่ผ่านมาที่รุดหน้า เริ่มจากในปี 2020 ผลิตภัณฑ์ใหม่หรือผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ 96% ได้รับการปรับปรุงให้มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดีขึ้น ลอรีอัลเป็นบริษัทเดียวในโลก ที่ได้รับคะแนนระดับ "AAA" ในการจัดอันดับทั้งสามด้านของ CDP ได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ป่าไม้ เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน
ในการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์พลาสติก ลอรีอัลออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี 2007 และทุ่มเทเวลาเกือบ 15 ปี เพื่อทำให้ฟุตพริ้นท์ทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ของเราลดน้อยลง เช่น การปรับให้มีน้ำหนักเบาเพื่อลดการใช้ทรัพยากร เปลี่ยนใช้วัสดุที่มาจากการนำกลับมาหมุนเวียน คิดค้นการทำบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ อาทิ ขวดน้ำหอมที่เติมใหม่ได้ พัฒนาการใช้งานแบบรีฟิลสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงผิว และออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้
ลอรีอัลยังสร้างเครื่องมือ Sustainable Product Optimization Tool (SPOT) ขึ้นเพื่อใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ และยังสามารถนำมาใช้จำลองการออกแบบในรูปแบบต่างๆ เพื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมไปถึงระบุส่วนที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขหาปริมาณการลดลงของผลกระทบในทุกๆ ด้านของผลิตภัณฑ์ ใช้วัสดุรีไซเคิล ลดความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ ใช้วัสดุจากแหล่งทรัพยากรที่สามารถทดแทนใหม่ได้แทนวัตถุดิบอื่นๆ เมื่อสามารถทำได้ ทำให้ภาชนะบรรจุและบรรจุภัณฑ์สามารถเติมใหม่ได้เพื่อจำกัดการใช้ภาชนะเพียงครั้งเดียว
ในปี 2022 ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่ 97% มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และ 100% ผ่านการประเมินผลโดยใช้ SPOT นอกจากนี้ 98% ของกระดาษที่ใช้สำหรับใบปลิวผลิตภัณฑ์ และ 99.9% ของกระดาษที่ใช้สำหรับกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ ได้รับการรับรองว่ามาจากป่าไม้ที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน ขณะที่ในปี 2023 มีจำนวน 26% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกของลอรีอัลมาจากการรีไซเคิลหรือแหล่งวัตถุดิบชีวภาพ 100% และ 85% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET มาจากการรีไซเคิล 100%
เมื่อมองไปที่เป้าหมายภายในปี 2030 ลอรีอัลมีความมุ่งมั่นลดปริมาณความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ลง 20% เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ลอรีอัลมีบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% และสามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% อาทิ ขวดไมเซล่าวอเตอร์ จากการ์นิเย่ และขวดคาเลนดูล่าโทนเนอร์ จากคีลส์ และภายในปี 2025 บรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด 100% จะสามารถใช้ในการเติมซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ นำไปรีไซเคิล หรือย่อยสลายได้
ในส่วนของบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิล หลอดบรรจุ Pure Shots Light Up Serum ของ YSL ทั้ง 4 สูตรสามารถนำมาบรรจุในขวดใสเดียวกันได้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้ยังสามารถช่วยประหยัดทรัพยากรเมื่อเทียบกับการผลิตขวดที่ไม่สามารถเติมได้ จากการใช้ภาชนะบรรจุ 1 ชิ้นกับรีฟิล 3 ส่วนแทนการใช้ 4 ขวด ทำให้น้ำหนักรวมของบรรจุภัณฑ์ลดลงถึง 52% นอกจากบรรจุภัณฑ์สกินแคร์แบบรีฟิลจากแบรนด์ YSL, ลังโคม, คีลส์ และลา โรช-โพเซย์แล้ว ลอรีอัล กรุ๊ปยังมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำหอมที่มาในรูปแบบของรีฟิล ทั้งจากแบรนด์ลังโคม, YSL และอาร์มานี่อีกด้วยเช่นกัน และในเดือนพฤษภาคม 2020 ลอรีอัลเปิดตัวนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ที่มีการนำกระดาษแข็งมาใช้ และสามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกได้มากกว่าหลอดบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วไป โดยในปี 2022 มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และหลอดรุ่นที่ 2 สำหรับแบรนด์ La Roche-Posay มีจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งลดปริมาณการใช้พลาสติดลงถึง 75% เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์แบบหลอดมาตรฐาน
ในส่วนของการสร้างความยั่งยืนในระดับต้นน้ำนั้น ลอรีอัลให้ความสำคัญกับเรื่องของการลดการใช้พลังงาน ทรัพยากร และลดการสร้างขยะและของเสียในโรงงาน โดยเฉพาะการลดปริมาณการใช้น้ำ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการนำน้ำจากกระบวนการอุตสาหกรรมทั้งหมดมารีไซเคิลวนกลับใช้ใหม่ ในปัจจุบัน โรงงาน 5 แห่งของลอรีอัลเป็น "โรงงานระบบน้ำแบบหมุนเวียน" กล่าวคือ น้ำทั้งหมดที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมจะถูกนำมาบำบัด รีไซเคิล และวนกลับมาใช้ใหม่ ได้แก่ โรงงานที่ Burgos (สเปน), Libramont (เบลเยียม), Vichy, Rambouille และ Aulnay (ฝรั่งเศส)
ลอรีอัล ยังได้มุ่งมั่นขับเคลื่อนความยั่งยืนตั้งแต่ในระดับของสูตรและส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ โดยนำ Green Science มาใช้เป็นหัวใจหลัก ถือเป็นการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และความยั่งยืนในระดับแก่นของธุรกิจ ปัจจุบัน 65% ของส่วนผสมธรรมชาติของลอรีอัล เป็นวัตถุดิบชีวภาพหรือได้มาจากแร่ธาตุที่มีมาก 80% เป็นวัตถุดิบที่ย่อยสลายตามธรรมชาติได้ง่าย เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งได้มาจากแป้งข้าวโพดและใช้สำหรับการสร้างเนื้อสัมผัส 32% เป็นวัตถุดิบธรรมชาติหรือมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น วิตามินซี และ 29% เป็นส่วนผสมที่ได้จาก Green Chemistry หรือกระบวนการทางเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความยั่งยืน ใช้พลังงานต่ำ และสารทำละลายที่อ่อนโยนอย่างน้ำและเอทานอล ไปพร้อมๆ กับการลดปริมาณของเสียที่เกิดขี้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ส่วนผสมที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและมีปริมาณการใช้น้ำเพียงน้อยนิด
เป้าหมายภายในปี 2030 สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ 100% ของวัตถุดิบชีวภาพที่ใช้ในสูตรและใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์จะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้และได้รับการจัดหาอย่างยั่งยืน และ 100% ของผลิตภัณฑ์ของเราจะได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการจัดหาและลงมือปลูกส่วนผสมจากธรรมชาติด้วยวิธีการที่ยั่งยืน ลอรีอัลคิดค้นนวัตกรรมเพื่อมอบสูตรผลิตภัณฑ์ที่สามารถปฏิวัติขั้นตอนการดูแลผิว และช่วยให้ทุกคนมีไลฟ์สไตล์ที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นได้ ครีมนวดผมแบบไม่ต้องล้างออกตัวแรกของลอรีอัลนั้นผลิตจากส่วนผสมจากธรรมชาติ 98% และช่วยประหยัดการใช้น้ำอุ่นได้ถึง 100 ลิตรต่อผลิตภัณฑ์หนึ่งขวด
นอกจากนี้ ในปี 2021 ในบรรดาวัตถุดิบที่ลอรีอัลอ้างอิงใหม่นั้น 63% เป็นวัตถุดิบที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และ 25% ในจำนวนนั้นเป็นเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวเลขดังกล่าวครอบคลุมวัตถุดิบราว 1,778 อย่างจากพืชพันธุ์ต่างๆ เกือบ 345 ชนิดที่มาจากกว่าร้อยประเทศ โดย 93% ของส่วนผสมที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ มาจากแหล่งที่ได้รับการรับรองว่ามีความยั่งยืนโดยมีแผนปฏิบัติการเพื่อให้แน่ใจว่า การจัดหาน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อไม้ ทั้งกล่องกระดาษและกระดาษสำหรับบรรจุภัณฑ์เป็นไปอย่างยั่งยืน เพื่อที่ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของลอรีอัลจะได้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ที่ลอรีอัลทำสำเร็จในปี 2022 คือมีจำนวน 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่หรือที่ปรับโฉมใหม่ มีคุณลักษณะที่ดีขึ้นในด้านสิ่งแวดล้อมหรือสังคม
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนถึงเป้าหมายและการเดินทางอย่างต่อเนื่องยาวนานของ “ลอรีอัล กรุ๊ป” เพื่อสร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลกบนเส้นทางความยั่งยืนตามหลักการและแนวทางวิทยาศาสตร์ ก่อเกิดเป็นผลกระทบเชิงบวกให้สังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งที่ผ่านมาและต่อไปในอนาคต