xs
xsm
sm
md
lg

Double Materiality: หลักการชี้แนะสำหรับการรายงานความยั่งยืน / ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ความคาดหวังของสังคมต่อประเด็นความยั่งยืนในรอบทศวรรษที่ผ่านมาได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเป็นผลให้เกิดแรงผลักอย่างกว้างขวางไปยังบริษัทให้ต้องพิจารณาและเปิดเผยผลกระทบที่มีต่อผู้คนและผืนโลก ไม่น้อยไปกว่าผลกระทบจากประเด็นความยั่งยืนที่มีต่อธุรกิจหรือผลกำไรที่เป็นบรรทัดสุดท้ายของกิจการ

สหภาพยุโรปได้ขานรับแนวคิดเรื่อง Double Materiality (ทวิสารัตถภาพ) ที่เป็นการพิจารณาประเด็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืนซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวกิจการเอง และผลกระทบจากกิจกรรมขององค์กรที่มีต่อโลกภายนอก โดยกำหนดให้กิจการต้องจัดทำรายงานที่มีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบทั้งสองด้าน

ประกอบด้วย ด้านการรายงานผลกระทบจากการดำเนินงานของกิจการที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน และด้านการรายงานผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนซึ่งมีนัยต่อผลประกอบการทางการเงิน


จากผลสำรวจ 2023 Annual Global Benchmark Policy Survey โดย Institutional Shareholder Services (ISS) พบว่า เมื่อถามถึงวิธีการกำหนดสารัตถภาพ ร้อยละ 75 ของผู้ลงทุนเห็นว่า การประเมินสารัตถภาพควรครอบคลุมถึงผลกระทบภายนอกที่เกิดจากกิจการ และมีเพียงร้อยละ 6 ของผู้ลงทุนที่ระบุว่า การประเมินสารัตถภาพควรจำกัดเฉพาะปัจจัยที่ส่งผลกระทบทางการเงินโดยตรงต่อตัวกิจการ

ทั้งนี้ การรายงานผลกระทบมีความเกี่ยวเนื่องอย่างใกล้ชิดกับผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่ายในแง่ที่เป็นกิจกรรมซึ่งสาธารณชนให้ความสนใจ และเป็นเหตุให้มีความสำคัญกับกิจการต่อการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แม้กิจการหรือผู้ลงทุนในตัวกิจการจะมิได้พิจารณาว่ามีนัยสำคัญทางการเงินในปัจจุบันหรือในอนาคตก็ตาม

และด้วยเหตุที่กิจการไม่สามารถได้รับการยอมรับว่าการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนบรรลุผลสำเร็จ ด้วยการ “คิดเอง เออเอง” โดยปราศจากการมีส่วนร่วมกับภาคีภายนอก การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนขององค์กร จึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ทั้งในกระบวนการวางแผน การดำเนินการ การเก็บรวบรวมและการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงาน

ผู้มีส่วนได้เสีย ในที่นี้ จำแนกออกได้เป็นสองกลุ่มตามบริบทของทวิสารัตถภาพ ได้แก่ ผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ (สำหรับการประเมินสารัตถภาพเชิงผลกระทบ) และผู้ใช้รายงานแห่งความยั่งยืน (สำหรับการประเมินสารัตถภาพเชิงการเงิน)

ในการสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ เป็นไปเพื่อการแสวงหาข้อมูลนำเข้าและเสียงสะท้อนเพื่อทำความเข้าใจในข้อกังวล ตามมาด้วยหลักฐานแสดงผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับผู้คนและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวโยงกับกิจการที่ซึ่งผู้มีส่วนได้เสียเหล่านั้นเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

การปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ และนำเอามุมมองเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการประเมินสารัตถภาพจะช่วยยืนยันถึงการกำหนดประเด็นความยั่งยืนว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ อาทิ ประเด็นด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่มาจากการสานสัมพันธ์กับพนักงานหรือตัวแทนพนักงาน รวมทั้งการรับฟังเสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนได้เสียในการสานสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอตามธรรมเนียมปฏิบัติทางธุรกิจ

การเก็บรวบรวมและการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสารัตถภาพเชิงผลกระทบ ควรมุ่งเน้นที่การสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบในขั้นตอนที่เป็นการระบุผลกระทบที่เกี่ยวกับประเด็นความยั่งยืนที่เกิดขึ้นและที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือในขั้นตอนที่เป็นการประเมินและกำหนดผลกระทบที่เกี่ยวกับประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญ

ขณะที่การเก็บรวบรวมและการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสารัตถภาพเชิงการเงินของประเด็นความยั่งยืน ผู้ใช้รายงานแห่งความยั่งยืนจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการช่วยกิจการประเมินสารัตถภาพเชิงการเงินตามหลักฐานที่นำมาสนับสนุน อาทิ ความเห็นและความสนใจของผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับวิธีปฏิบัติในกระบวนการพิจารณาสาระสำคัญในรายงานทางการเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยที่มีการปรับปรุงหมายเหตุประกอบงบการเงินและเอกสารนำเสนอนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพื่อสะท้อนประเด็นเกิดใหม่และประเด็นอื่น ๆ ที่นักลงทุนสนใจ ซึ่งในกรณีนี้ กิจการสามารถใช้ประโยชน์จากกลไกการสานเสวนาที่มีอยู่กับผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุนอื่น และเจ้าหนี้ สำหรับสนับสนุนกระบวนการประเมินสารัตถภาพเชิงการเงิน

สำหรับแนวการสานเสวนากับผู้มีส่วนได้เสียที่อาจมีความสนใจต่อข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับความยั่งยืนโดยทั่วไป ที่มิได้จำกัดหรือจำเพาะเจาะจงเหมือนกลุ่มผู้ลงทุน บริษัทสามารถใช้ประโยชน์ในข้อมูลดังกล่าวสำหรับการประเมินวิธีจัดการกับผลกระทบที่เป็นสาระสำคัญ เช่น ชุมชนที่ได้รับผลกระทบอาจสนใจว่าบริษัทมีข้อกำหนดในการฟื้นฟูแหล่งดำเนินงานที่ปล่อยมลภาวะอย่างเพียงพอที่จะครอบคลุมกิจกรรมฟื้นฟูที่จำเป็น หรือพนักงานปัจจุบันและที่รอการบรรจุอาจต้องการรับทราบเกี่ยวกับผลทางการเงินที่คาดหมายที่สามารถกระทบต่อโอกาสที่มีในองค์กร (เช่น บำนาญ หรือการฝึกอบรม)

ในสถานการณ์ที่การปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียทำได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ (เช่น ทำแล้วเกิดความเสี่ยง) กิจการอาจพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม อาทิ การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญอิสระที่เชื่อถือได้ องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ซึ่งเป็นตัวแทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบที่สามารถให้เสียงสะท้อนที่มีคุณค่า หรือการใช้รายงานและบทความทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงสำหรับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม

ที่สำคัญ ในกระบวนการเก็บและเปิดเผยข้อมูลเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนขององค์กร กิจการต้องดำเนินการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบอย่างโปร่งใส ด้วยการเปิดเผยวิธีการสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียทั้งในขั้นตอนการระบุและประเมินผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นและที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

บทความโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์


กำลังโหลดความคิดเห็น