มูลนิธิการจัดการความรู้และเครือข่ายโรงเรียนชาวนา จังหวัดนครสวรรค์ แฉผลงานวิจัยและพัฒนาที่ประสบความสำเร็จช่วงที่ผ่านมาทำให้ได้ข้าวคุณภาพดี 9 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวอินทรีย์เป็นหลัก แต่กลับมีปัญหาในการขอจดสิทธิบัตร
“สังศิต” ปธ. คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา ติงรัฐบาล ก.เกษตรฯ ควรปรับนโยบายและท่าทีใหม่ต่อองค์กรภาคประชาสังคมในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวของไทย เพราะพันธุ์ข้าวดังกล่าวถือเป็นของชาวนาไทยทุกคน
สืบเนื่องจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา นายถาวร เทพวิมลเพชรกุล สมาชิกวุฒิสภา พร้อมคณะเดินทางถึงแปลงวิจัยพัฒนา มูลนิธิการจัดการความรู้และเครือข่ายโรงเรียนชาวนา จังหวัดนครสวรรค์ ตำบลหนองกรด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ผู้แทนมูลนิธิฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานของมูลนิธิฯ โดยคณะได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ นายชุมพิชญ์ เดชะรัฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ นายชุมพล ศิริครินทร์ นายอำเภอบรรพตพิสัย พร้อมด้วยเกษตรกรนักวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ข้าว
นายนภดล มั่นศักดิ์ ผู้จัดการมูลนิธิฯโรงเรียนชาวนา เปิดเผยต่อคณะฯของนายสังศิต ว่า ‘การพัฒนาพันธุ์ข้าวของมูลนิธิฯ เป็นทั้งการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวไทย และการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยสายพันธุ์ใหม่ ๆ ให้เพาะปลูกได้ทั้งปี ผลผลิตสูง ต้านทานโรค ปลูกไว้กินก็อร่อย ปลูกขายก็ได้ราคาดี และป้องกันการผูกขาดพันธุ์ข้าวของนายทุน
ผลงานวิจัยและพัฒนาที่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมาทำให้ได้ข้าวคุณภาพดี 9 สายพันธุ์ ดังนี้
1. ข้าว ช่อราตรี
พัฒนามาจากข้าวสายพันธุ์เรนโบว์ คัดเลือกพันธุ์ให้ปลูกเป็นนาปรังได้ จุดเด่นของข้าวช่อราตรีคือ เมล็ดใส ไม่หักง่าย ซึ่งเมล็ดจะประกอบไปด้วยน้ำตาลและแป้งกระจายตัวอยู่ทั่วเมล็ด สามารถให้ผลผลิตในนาอินทรีย์ 600 - 800 กิโลกรัมต่อไร่ อายุเก็บเกี่ยว 115 - 120 วัน
2. ข้าว ขาวเกยไชย
เป็นข้าวขาวที่พัฒนามาจากข้าวสายพันธุ์บาสมาติก (Basmati) ที่ปลูกในประเทศไทยจนแทบหมดคราบความเป็นบาสมาติกไปหมดแล้ว โดยนำมาผสมกับหอมมะลิ จนเกิดเป็นขาวเกยไขย ข้าวนาปรังที่สามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จุดเด่นของข้าวสายพันธุ์นี้ คือ เมล็ดยาว เป็นข้าวเจ้าที่นุ่ม หุงขึ้นหม้อ รสชาติอร่อยเหมือนหอมมะลิ ผลผลิตนาอินทรีย์ 750 - 850 กิโลกรัมต่อไร่ อายุเก็บเกี่ยว 95 - 100 วัน
3. ข้าว ชำมะเลียงแดง
ข้าวเจ้าเมล็ดสีแดง พัฒนามาจากข้าวสายพันธุ์หอมเลื่องลือ เมล็ดยาว ปริมาณน้ำตาลน้อย มีความนุ่มมาก ปริมาณสังกะสีจะสูงมาก สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายและบำรุงฮอร์โมนเพศ เป็นข้าวนาปรังที่ให้ผลผลิตนาอินทรีย์ 600 - 800 กิโลกรัมต่อไร่ อายุเก็บเกี่ยว 120 - 130 วัน
4. ข้าว ชำมะนาด
เป็นข้าวเจ้าที่มีกลิ่นหอมมาก กลิ่นคล้ายดอกชำมะนาด เมล็ดอ้วน รสชาติดี เป็นข้าวนาปรังที่ให้ผลผลิตนาอินทรีย์ 700 - 750 กิโลกรัมต่อไร่ อายุการเก็บเกี่ยว 95 - 100 วัน
5. ข้าว หอมเลื่องลือ
เป็นข้าวเจ้านาปรัง มีกลิ่นหอม เมล็ดอ้วนสีแดงเข้ม รสชาติดี เป็นข้าวนาปรังโภชนาการสูง น้ำตาลน้อย ผลผลิตนาอินทรีย์ 700 - 750 กิโลกรัมต่อไร่ อายุการเก็บเกี่ยว 100 - 110 วัน
6. ข้าว นิลสวรรค์
เมล็ดสีม่วงดำ พัฒนามาจากข้าวพื้นบ้านสายพันธุ์หอมนิล ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวเร็วกว่าหอมนิล นิลสวรรค์เป็นข้าวนาปรังที่มีโภชนาการสูงมาก กลิ่นหอม และมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูง ดัชนีน้ำตาลต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินอีและแมกนีเซียม ผลผลิตนาอินทรีย์ 600 - 800 กิโลกรัมต่อไร่ อายุเก็บเกี่ยว 95 - 105 วัน
7. ข้าวเหนียวนาปรัง แก้วพิชิต
ข้าวเหนียวขาวนาปรัง หอมนุ่ม คล้ายข้าวญี่ปุ่น เป็นการผสมข้าวเหนียวนาปีกับข้าวนาปรัง ทำให้ได้ข้าวเหนียวที่ปลูกได้ทั้งปี ผลผลิตดี รสชาติอร่อย ผลผลิตนาอินทรีย์ 700 - 800 กิโลกรัมต่อไร่ อายุเก็บเกี่ยว 100 - 110 วัน
8. ข้าวเจ้า R18
9. ข้าวเจ้า F14
มูลนิธิฯ ทำงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว การผลิตพันธุ์ข้าวอินทรีย์เป็นหลัก รวมถึงสอนเกษตรกรผลิตข้าวอินทรีย์ วิธีการลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการลดการใช้สารเคมีในการทำเกษตรและมุ่งเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร มูลนิธิเก็บรวบรวมพันธุ์ข้าวมากกว่า 400 สายพันธุ์ เพื่อที่จะอนุรักษ์ไว้สำหรับเป็นพ่อแม่พันธุ์ในการวิจัย ซึ่งการมีพันธุ์ข้าวจำนวนมากถือเป็นต้นทุนที่ดีต่อการพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ ๆ การพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ที่ดีไม่เหมือนใคร เราต้องรู้ก่อนว่าพันธุ์ข้าวที่เรามีอยู่แล้วนั้นมีอะไรบ้าง และมีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร เพื่อพัฒนาให้ได้คุณสมบัติเด่นของข้าวพันธุ์ใหม่ที่ปรับปรุงขึ้นมา
"ปัจจุบันมูลนิธิฯ แห่งนี้ ได้มีพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่เกิดจากการทำงานร่วมกับโครงการของมหาวิทยาลัย โรงเรียน และหน่วยงานในระดับชุมชน ในการปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์ข้าวเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของพวกเขามากที่สุด และส่งมอบองค์ความรู้ให้ชาวนาให้สามารถปรับปรุงพันธุ์ได้เอง รวมถึงสายพันธุ์ข้าวอินทรีย์ต่าง ๆ"
มูลนิธิฯ มีเครือข่ายชาวนาในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ครอบคลุม 11 อำเภอ 60 ตำบล 95 หมู่บ้าน เป็นจำนวนกว่า 4,000 ครัวเรือน มีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากพันธุ์ข้าวที่เกิดจากงานวิจัยพัฒนาของมูลนิธิฯ ดังนี้
ภาคกลาง : 17 จังหวัด ภาคเหนือ : 7 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : 5 จังหวัด ภาคตะวันตก : 3 จังหวัด ภาคตะวันออก : 5 จังหวัด และภาคใต้ : 5 จังหวัด
การดำเนินงานในปัจจุบัน
- การให้ความรู้กับกลุ่มเป้าหมายใหม่ และการยกระดับความรู้ของกลุ่มเครือข่ายเดิม ซึ่งได้มีการจัดอบรมนักพัฒนาพันธุ์ข้าว โดยการสนับสนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์
- งานส่งเสริมความรู้เรื่องข้าวและเกษตรอินทรีย์
- การสร้างเครือข่ายผู้บริโภค สร้างตลาดการค้าเกษตรอินทรีย์อย่างมีส่วนร่วม
- การพัฒนาพันธุ์ข้าวร่วมกับหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ มูลนิธิชีววิถี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการ “วิจัยพัฒนาและรับรองข้าวสายพันธุ์ใหม่อย่างมีส่วนร่วม จังหวัดนครสวรรค์”
- การจัดตั้งกลุ่ม Thai future farmers (TFF) นักพัฒนาพันธุ์ข้าว รวบรวมผู้มีความรู้ความสามารถ ด้านการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวจากทั่วประเทศไทย เพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงด้านพันธุกรรมข้าวไทยให้มีความหลากหลาย และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศ
- โครงการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทย – แอฟริกา
เป้าหมายของมูลนิธิฯ ในปี 2567 - 2569
1. พัฒนาพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง ผลผลิตสูง ทนต่อสภาพอากาศแปรปรวน
2. สร้างกลไกการรับรองข้าวสายพันธุ์ใหม่อย่างมีส่วนร่วม ของจังหวัดนครสวรรค์
3. ขยายเครือข่ายเกษตรกรทั่วประเทศไทย
4. สร้างหลักสูตรการทำนา และการพัฒนาพันธุ์ข้าว (โรงเรียนชาวนา นานาชาติ) ให้ครอบคลุมและเท่าทันเทคโนโลยี
5. ขยายฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ ในเครือข่ายมูลนิธิและประเทศไทย
6. สร้างตลาดซื้อขายข้าวล่วงหน้า เพื่อรองรับผลผลิตจากเกษตรกรในเครือข่ายของมูลนิธิฯ
7. จัดตั้งกองทุนชาวนา สำหรับสมาชิกเครือง่ายของมูลนิธิฯ
8. พัฒนาพื้นที่แปลงวิจัย เพื่อเป็นพื้นที่ศึกษาเรียนรู้
9. สร้างมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อย่างมีส่วนร่วม
10. สร้างโรงสี สำหรับรองรับข้าวอินทรีย์โดยเฉพาะ
นอกจากนั้น ยังมีผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิฯ ที่จำหน่ายภายใต้แบรนด์ บุญบันดาล (Boonbundan) โดยข้าวทั้งหมดเป็นออร์แกนิก ได้รับมาตรฐานยุโรป USDA IFOAM ผลิตภัณฑ์มีทั้งข้าวขาว ข้าวกล้อง แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวกล้อง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ จากข้าว
แฉปัญหาการขอจดสิทธิบัตร
นายนภดล มั่นศักดิ์ ผู้จัดการมูลนิธิฯ กล่าวถึงปัญหาการขอจดสิทธิบัตรหรือการออกหนังสือรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งการขอจดสิทธิบัตรข้าวพันธุ์ใหม่ 1 สายพันธุ์ ต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 4 ล้านบาท !!
‘การขอจดสิทธิบัตร หน่วยงานรัฐ ระดับกรม(ข้าว)จะทำการวิจัยเอง โดยผู้ขอสิทธิบัตรต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทีมวิจัยของหน่วยงาน ต้องใช้เงิน 4-5 ล้านบาท ใช้เวลา 10 ปี โดยที่หน่วยงานรัฐที่รับวิจัย จะเป็นผู้กำหนดโจทย์เองว่าต้องการข้าวแบบไหน เช่น นุ่ม หอม ความยาวของเมล็ด และคุณลักษณะอื่นๆ มูลนิธิฯเจ้าของพันธุ์ข้าว กลุ่มเกษตรกร ไม่มีสิทธิกำหนดลักษณะพันธุ์ข้าวของตัวเอง ส่วนใหญ่กำหนดตามที่ผู้ส่งออกต้องการ การพัฒนาพันธุ์ชาวนาไม่มีส่วนร่วมเลย’
‘มูลนิธิฯเคยทำวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวเอง โดยได้รับความร่วมมือ รศ.ดร.ปิยศักดิ์ ชอุ่มพฤกษ์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้เวลา 7 ปี ใช้เงินบริจาคเพียง 3 แสนบาท และ การขอทุนวิจัยเพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าว มูลนิธิฯไม่สามารถเข้าถึงเลย และไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่โครงการเดียว ทั้งจาก สำนักวิจัยแห่งชาติ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สสส . สกว. สวทช . สก.สว. สช. พอช. แม้ได้พยายามหลายปีแล้ว'
‘ถ้าข้าวได้การรับรองสายพันธุ์ จะทำให้ข้าวถูกต้องตามกฎหมาย เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้ ขึ้นทะเบียนเพาะปลูกได้ เกษตรกรสามารถจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ได้ สร้างมูลค่าทางการตลาดได้อย่างมหาศาล ปัจจุบันชาวบ้านที่ชอบสายพันธุ์ดังกล่าว ก็ปลูกแบบต้องแจ้งชื่อสายพันธุ์อื่นสวมสิทธิ์ไปก่อน เพราะข้าวยังไม่รับรองสายพันธุ์'
‘ในฐานะมูลนิธิฯ เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ จึงอยากให้ข้าวเป็นของคนทั้งในประเทศ ในในจังหวัด สืบต่อไปงานพัฒนาข้าวของมูลนิธิฯ สร้างประโยชน์อย่างมากให้กับเกษตรกร เกษตรกรสามารถนำไปปลูกเพื่อกินได้ ขายได้ สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ได้ด้วย ซึ่งในอนาคตในไม่นาน เมล็ดพันธุ์จะเป็นไฮบริดทั้งหมด เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ ซึ่งตอนนี้ก็มีมาแล้ว หลายสายพันธุ์แล้วครับ’
‘ปกติข้าวไทยจะมีความยาย 0.7-0.8 มิลลิเมตรเท่านั้น แต่ข้าวสายพันธุ์เกยไชยที่เราวิจัยพัฒนาเองมีความยาวถึง 1.2 เซนติเมตร กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมากปัจจุบันขาวเกยไชยราคาดีกว่าข้าวปกติ หรือข้าว กข ประมาณ1000 ถึง 1500 บาท ชาวนาจะมีรายได้เพิ่มขึ้น'
‘สังศิต’ เสนอออกสิทธิบัตรให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ เสนอว่า "รัฐบาลควรต้องคุ้มครองพันธุ์ข้าวที่มูลนิธิฯพัฒนาใหม่ 9 สายพันธุ์ ออกสิทธิบัตรให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะพันธุ์ข้าวดังกล่าวถือเป็นทรัพย์แผ่นดินของชาวนาไทยทุกคน การวิจัยการพัฒนาพันธุ์ข้าวต้องใช้เวลาทำการวิจัยราว 10-12 ปี มีค่าใช้จ่ายสูง เมื่อทำเสร็จ กลับไม่สามารถขึ้นทะเบียนตามกฎหมายได้ เพราะกระบวนการลงทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายมีราคาแพงลิบลิ่ว รัฐบาลควรปรับนโยบายและท่าทีใหม่ต่อองค์กรภาคประชาสังคมในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวของไทย"
โดยให้ข้อสังเกตุอย่างน่าสนใจว่า
ประการแรก มูลนิธิโรงเรียนชาวนามุ่งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้แก่ชาวนา รักษาผลประโยชน์ให้แก่ชาวนาและผู้บริโภคชาวไทยโดยตรง กิจกรรมของพวกเขาจึงสมควรได้รับปกป้องจากภาครัฐและคณะกมธ.
ประการที่สอง การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวของมูลนิธิฯเป็นงานที่ยากลำบากจริง เพราะพันธุ์ข้าวแต่ละพันธุ์ต้องใช้เวลาทำการวิจัยราว 10-12 ปี การวิจัยมีค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อทำเสร็จ กลับไม่สามารถขึ้นทะเบียนตามกฎหมายได้ เพราะกระบวนการลงทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายมีราคาแพงลิบลิ่ว ดังนั้นตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แม้มูลนิธิฯ จะสามารถพัฒนาสายพันธุ์ข้าวได้จำนวนหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้เลยแม้แต่สายพันธุ์เดียว
ประการที่สาม ปัจจุบันมีองค์กรภาคประชาสังคมเพียงสองแห่งเท่านั้นที่ยังทำหน้าที่พัฒนาสายพันธุ์ข้าวของไทย แต่พวกเขาไม่สามารถจดทะเบียนพันธุ์ข้าวไทยได้ ด้วยเหตุนี้สายพันธุ์ข้าวที่ถูกจดทะเบียนจึงตกอยู่ในมือของกลุ่มธุรกิจผูกขาดเพียงกลุ่มเดียว
ประการที่สี่ จุดมุ่งหมายของการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวระหว่างภาคธุรกิจเอกชนกับมูลนิธิโรงเรียนชาวนา คือธุรกิจเอกชนพัฒนาสายพันธุ์ข้าว เพื่อธุรกิจการค้าเป็นหลัก ส่วนมูลนิธิชาวนาผลิตสายพันธุ์ข้าวเพื่อให้ข้าวมีคุณภาพดีและเหมาะสมสำหรับผู้บริโภคในประเทศเป็นหลัก
คำถามก็คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรควรมีการกำหนดนโยบายและท่าทีที่เหมาะสมต่อองค์กรภาคประชาสังคมในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวของไทยอย่างไรต่อไป ?
ซึ่งผมเห็นว่ารัฐบาลควรต้องคุ้มครองพันธุ์ข้าวที่มูลนิธิพัฒนาสายพันธุ์ ใหม่ 9 สายพันธุ์ โดยการออกสิทธิบัตรให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะพันธุ์ข้าวดังกล่าวถือเป็นของชาวนาไทยทุกคน สิทธิบัตรนี้เพื่อป้องกันต่างชาติอ้างสิทธิ์ ซึ่งเคยถูกอ้างมาแล้วจากพันธุ์พืชสมุนไพรหลายชนิด เช่นกวาวเครือ เป็นต้น