ยอดจองรถใหม่ครึ่งทาง ในงาน Thailand International Motor Expo 2023 ครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม 2565 @ Challenger Hall 1-3 เมืองทองธานี (7 วัน จากทั้งหมด 13 วัน) รวมทั้ง 22,461 คัน (งานจัดถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2566)
ปรากฎผลยอดจองดังนี้
อันดับ 1 Toyota 3,031 คัน
อันดับ 2 BYD 2,627 คัน
อันดับ 3 Honda 2,518 คัน
อันดับ 4 Aion 1,824 คัน
อันดับ 5 MG 1,577 คัน
อันดับ 6 GWM 1,544 คัน
อันดับ 7 ChangAn 1,509 คัน
อันดับ 8 Isuzu 1,186 คัน
อันดับ 9 Nissan 1,008 คัน
อันดับ 10 NETA 791 คัน
อันดับ 11 Mazda 743 คัน
อันดับ 12 Suzuki 635 คัน
อันดับ 13 Ford 618 คัน
อันดับ 14 BMW 519 คัน
อันดับ 15 Mitsubishi 467 คัน
อันดับ 16 Mercedes-Benz 455 คัน
อันดับ 17 TESLA 233 คัน
อันดับ 18 Volvo 209 คัน
อันดับ 19 Hyundai 167 คัน
อันดับ 20 KIA 149 คัน
นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” เปิดเผยว่า “ปีนี้เป็นวาระฉลอง 40 ปีของการจัดงาน และขณะนี้ได้ผ่านครึ่งทางของงานแล้ว ปรากฏว่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลายแบรนด์ได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างมาก ส่วนประเภทรถได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ตามด้วยรถเก๋ง และรถกระบะ ด้านรถจักรยานยนต์มียอดจองเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามคาด”
ทั้งนี้ 5 เหตุผลสำคัญที่เป็นปัจจัยหลักในกระแสการเปลี่ยนสู่การใช้รถไฟฟ้า หรือรถอีวี คือ
1. รถไฟฟ้า ดีกว่า ประหยัดกว่า ทั้งค่าน้ำมัน และค่าซ่อมบำรุง
หลายปีที่ผ่านมา ที่เราต้องทนกับสภาวะราคาน้ำมันที่ผันผวนอยู่ตลอด รวมถึงจะเอารถเข้าศูนย์แต่ละครั้ง ก็ต้องคิดหนักว่าจะโดนค่าใช้จ่ายตัวไหนบ้าง แต่สำหรับรถไฟฟ้า หรือ รถ EV แล้ว จะเหลือเพียงค่าไฟฟ้าในการชาร์จ ที่ราคาและความผันผวนต่ำกว่า พร้อมจุดชาร์จที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ปั๊มน้ำมัน หรือห้างสรรพสินค้า อีกทั้งค่าซ่อมบำรุงก็ต่ำ ไม่มีเครื่องยนต์ ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ต่างจากเครื่องยนต์สันดาป ที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนมากมายหลายต่อหลายชิ้น ที่ต้องซ่อมต้องเปลี่ยนอย่างไม่รู้จบ
2. รถไฟฟ้า แรงบิดสูง ออกตัวเร็ว ไม่มีจังหวะหน่วง
เพราะรถไฟฟ้า หรือ รถ EV ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน และสามารถทำให้มีอัตราเร่งได้อย่างที่ใจต้องการ เพราะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์ คนที่ได้ลองขับรถ EV แล้ว มักจะติดใจและคุ้นเคย จนไม่อยากกลับไปขับรถสันดาปแบบเดิม
3. ความรู้ความเข้าใจ และสถานการณ์ของ รถไฟฟ้า ได้เปลี่ยนและพัฒนาขึ้นมากแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในบรรดาข้อดีของรถ EV ที่สื่อหลากหลายสำนักต่างสาธยายและโน้มน้าว ย่อมต้องมีจุดบอดหรือข้อเสียแฝงอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นราคาแบตเตอรี่ที่สูงมาก / อะไหล่ที่ไม่เพียงพอและรอนาน / ปัญหาการใช้จุดชาร์จสาธารณะอย่างขาดวินัยและจิตสำนึกของผู้ใช้งานบางคน
แต่สิ่งเหล่านั้น มันเป็น “ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ ” จึงควรติดตามและ update ข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อให้คุณไม่พลาด ทุกการตัดสินใจ
4. กระแสโลกลดคาร์บอน ขับเคลื่อนสังคมยุคใหม่ มุ่งสู่สังคมรถ EV
แม้ทุกวันนี้ รถส่วนใหญ่บนถนน ยังคงเป็นรถสันดาป แต่ก็ใช่จะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อยากให้นึกถึงวันที่ Smart phone เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรา จนถึงวันนี้ คงไม่มีใครอยากกลับไปใช้โทรศัพท์ในรุ่นเดิมๆ ยิ่งโดยเฉพาะในสังคมยุคนี้ที่การเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งใหม่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับนโยบายประชาคมโลกที่ผลักดันการเข้าสู่สังคม รถ EV อย่างจริงจังและเร่งด่วน
5.การใช้งาน รถไฟฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมเปลี่ยนโลก
การปล่อยมลภาวะ และฝุ่นละอองขนาดเล็กจากรถพลังงานไฟฟ้า ย่อมน้อยกว่ารถที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนท้องถนนที่ไม่อาจเห็นผลลัพธ์แห่งการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน แต่อย่างน้อย หากคุณเป็นคนที่เลือกรถ EV ก็สามารถยืดอกได้ว่า คุณไม่ได้มีส่วนที่ทำให้โลกใบนี้แย่ลงเพราะมลพิษจากไอเสีย
ปรากฎผลยอดจองดังนี้
อันดับ 1 Toyota 3,031 คัน
อันดับ 2 BYD 2,627 คัน
อันดับ 3 Honda 2,518 คัน
อันดับ 4 Aion 1,824 คัน
อันดับ 5 MG 1,577 คัน
อันดับ 6 GWM 1,544 คัน
อันดับ 7 ChangAn 1,509 คัน
อันดับ 8 Isuzu 1,186 คัน
อันดับ 9 Nissan 1,008 คัน
อันดับ 10 NETA 791 คัน
อันดับ 11 Mazda 743 คัน
อันดับ 12 Suzuki 635 คัน
อันดับ 13 Ford 618 คัน
อันดับ 14 BMW 519 คัน
อันดับ 15 Mitsubishi 467 คัน
อันดับ 16 Mercedes-Benz 455 คัน
อันดับ 17 TESLA 233 คัน
อันดับ 18 Volvo 209 คัน
อันดับ 19 Hyundai 167 คัน
อันดับ 20 KIA 149 คัน
นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” เปิดเผยว่า “ปีนี้เป็นวาระฉลอง 40 ปีของการจัดงาน และขณะนี้ได้ผ่านครึ่งทางของงานแล้ว ปรากฏว่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลายแบรนด์ได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างมาก ส่วนประเภทรถได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ตามด้วยรถเก๋ง และรถกระบะ ด้านรถจักรยานยนต์มียอดจองเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามคาด”
ทั้งนี้ 5 เหตุผลสำคัญที่เป็นปัจจัยหลักในกระแสการเปลี่ยนสู่การใช้รถไฟฟ้า หรือรถอีวี คือ
1. รถไฟฟ้า ดีกว่า ประหยัดกว่า ทั้งค่าน้ำมัน และค่าซ่อมบำรุง
หลายปีที่ผ่านมา ที่เราต้องทนกับสภาวะราคาน้ำมันที่ผันผวนอยู่ตลอด รวมถึงจะเอารถเข้าศูนย์แต่ละครั้ง ก็ต้องคิดหนักว่าจะโดนค่าใช้จ่ายตัวไหนบ้าง แต่สำหรับรถไฟฟ้า หรือ รถ EV แล้ว จะเหลือเพียงค่าไฟฟ้าในการชาร์จ ที่ราคาและความผันผวนต่ำกว่า พร้อมจุดชาร์จที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ปั๊มน้ำมัน หรือห้างสรรพสินค้า อีกทั้งค่าซ่อมบำรุงก็ต่ำ ไม่มีเครื่องยนต์ ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ต่างจากเครื่องยนต์สันดาป ที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนมากมายหลายต่อหลายชิ้น ที่ต้องซ่อมต้องเปลี่ยนอย่างไม่รู้จบ
2. รถไฟฟ้า แรงบิดสูง ออกตัวเร็ว ไม่มีจังหวะหน่วง
เพราะรถไฟฟ้า หรือ รถ EV ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน และสามารถทำให้มีอัตราเร่งได้อย่างที่ใจต้องการ เพราะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์ คนที่ได้ลองขับรถ EV แล้ว มักจะติดใจและคุ้นเคย จนไม่อยากกลับไปขับรถสันดาปแบบเดิม
3. ความรู้ความเข้าใจ และสถานการณ์ของ รถไฟฟ้า ได้เปลี่ยนและพัฒนาขึ้นมากแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในบรรดาข้อดีของรถ EV ที่สื่อหลากหลายสำนักต่างสาธยายและโน้มน้าว ย่อมต้องมีจุดบอดหรือข้อเสียแฝงอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นราคาแบตเตอรี่ที่สูงมาก / อะไหล่ที่ไม่เพียงพอและรอนาน / ปัญหาการใช้จุดชาร์จสาธารณะอย่างขาดวินัยและจิตสำนึกของผู้ใช้งานบางคน
แต่สิ่งเหล่านั้น มันเป็น “ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ ” จึงควรติดตามและ update ข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อให้คุณไม่พลาด ทุกการตัดสินใจ
4. กระแสโลกลดคาร์บอน ขับเคลื่อนสังคมยุคใหม่ มุ่งสู่สังคมรถ EV
แม้ทุกวันนี้ รถส่วนใหญ่บนถนน ยังคงเป็นรถสันดาป แต่ก็ใช่จะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อยากให้นึกถึงวันที่ Smart phone เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรา จนถึงวันนี้ คงไม่มีใครอยากกลับไปใช้โทรศัพท์ในรุ่นเดิมๆ ยิ่งโดยเฉพาะในสังคมยุคนี้ที่การเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งใหม่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับนโยบายประชาคมโลกที่ผลักดันการเข้าสู่สังคม รถ EV อย่างจริงจังและเร่งด่วน
5.การใช้งาน รถไฟฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมเปลี่ยนโลก
การปล่อยมลภาวะ และฝุ่นละอองขนาดเล็กจากรถพลังงานไฟฟ้า ย่อมน้อยกว่ารถที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนท้องถนนที่ไม่อาจเห็นผลลัพธ์แห่งการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน แต่อย่างน้อย หากคุณเป็นคนที่เลือกรถ EV ก็สามารถยืดอกได้ว่า คุณไม่ได้มีส่วนที่ทำให้โลกใบนี้แย่ลงเพราะมลพิษจากไอเสีย