ผลสำรวจ พฤติกรรมการลอยกระทงปีนี้ โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย คาดเงินสะพัด 10,005 ล้านบาท เฉลี่ย 1,900-2,000 บาท/คน เพิ่ม 3.3% ดีสุดในรอบ 8 ปี แต่คนไม่ใส่ใจกระทงจะทำจากวัสดุอะไร
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันลอยกระทงและทัศนะต่อสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างวันที่ 14-20 พ.ย.2566 จำนวน 1,240 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่าประชาชน 64.3 % มองว่าจะออกไปลอยและทำกิจกรรมอื่น และสนุกสนานมากกว่าปี 2565
คนส่วนใหญ่เห็นว่า ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดที่ผ่านมาเริ่มน้อยลง และเห็นว่าประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่กล้าออกมาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น และได้รับอนิสงค์จากมาตรการต่างๆจากภาครัฐด้วย
สำหรับลอยกระทงปีนี้ การใช้จ่ายตามกิจกรรมต่อคนจะเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 1,900-2,000 บาท แต่ละคนมีแนวโน้มใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเฉลี่ยคนละ 1,920.39 บาท เพิ่มเป็นคนละกว่า 2,075.58 บาท เพราะสินค้าราคาแพงขึ้น
โดยการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวในช่วงวันลอยกระทง ส่งผลให้ปี 2566 เงินสะพัดจากเทศกาลลอยกระทงจะอยู่ที่ 10,005 ล้านบาท ทำให้คาดการณ์ว่า เม็ดเงินสะพัดในช่วงเทศกาลลอยกระทงปีนี้จะเพิ่มขึ้นกว่า ปีที่แล้ว 3.3% ซึ่งถือว่าดีขึ้นในรอบ 8 ปี และมองว่าเศรษฐกิจไทยพ้นปากเหวแล้ว เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มที่จะกลับมาฟื้นตัว พร้อมคาดว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567
ที่น่าสนใจพบว่า ประชาชนในกลุ่ม GEN X Y และ GEN Z กว่า 71 % ยังนิยมไปลอยกระทง กิจกรรมที่ได้รับความสนใจ รองลงมาคือ การทานอาหารนอกบ้าน
แต่ที่น่าห่วงใยด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจว่า กระทงจะทำจากวัสดุอะไร
ส่วนพฤติกรรมการจับจ่ายส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่การสังสรรค์ รองลงมาคือการทานอาหารนอกบ้าน และค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการสอบถามเกี่ยวกับ พรที่ต้องการขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสะท้อนภาวะเศรษฐกิจด้วย โดยพรที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ต้องการให้ตัวเอง คือ ขอให้เงินทองไหลมาเทมา รองลงมาคือขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง ตามด้วยขอให้สุขภาพแข็งแรง ส่วนสิ่งที่ขอให้ประเทศ คืออยากให้ประเทศเศรษฐกิจดี ,คนในชาติสามัคคี ค่าครองชีพลดลง
ส่วนใหญ่ตอบแบบสอบถามคนข้างกังวลใจกันมากคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงิน 10,000 บาท แม้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยและพร้อมที่จะส่งทะเบียนรับเงินโครงการนี้ แต่ส่วนใหญ่เกรงว่าไม่อยากให้รัฐบาลกู้เงินมา เพราะจะเป็นภาระให้กับลูกหลานในอนาคต
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจยังประเมินภาพรวมเศรฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 2.4-2.5% ต่อจีดีพี และปีหน้าจะอยู่ที่ 3-4% ต่อจีดีพี โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว ราคาน้ำมันไม่ผันผวนมาก อัตราดอกเบี้ยไม่ปรับขึ้น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเริ่มนำมาใช้ในช่วงกลางปี 2567 และภาคการส่งออกฟื้นตัว จึงเป็นปัจจัยหนุนทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวด้วยเช่นกัน