Clip Cr.World Meteorological Organization
ปีนี้ฤดูกาลของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะระดับอุณหภูมิหลายภูมิภาคของโลกที่พุ่งสูงขึ้นจากคลื่นความร้อน รวมถึงปริมาณของหิมะที่เคยตกก็ลดลงและคลาดเคลื่อน
เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ออกรายงานว่าอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า เกิดจากก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนและปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ถ้าย้อนกลับไปดูรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ตั้งแต่ปี 2018 เคยคาดการณ์ไว้ว่า อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยน่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.5 องศาเซลเซียสในช่วงระหว่างปี 2030-2052 หากสถานการณ์การแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างที่เป็นอยู่
นั่นบ่งบอกว่า ณ ปัจจุบันสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย
คำถามที่หลายคนคลางแคลงใจ คือ หากเราไม่สามารถยับยั้งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ผลกระทบที่เกิดต่อโลกเราจะรุนแรงแค่ไหน? และจะเป็นอย่างไรหากอุณหภูมิโลกเพิ่มไปถึงระดับ 2 องศาเซลเซียส ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม
คำตอบที่ชัดเจนจากผู้เชี่ยวชาญ คือ ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่ 1.5 องศาเซลเซียสนั้นมีความแตกต่างอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับระดับ 2 องศาเซลเซียส
โดยรายงานพิเศษว่าด้วยภาวะโลกร้อน 1.5 องศาเซลเซียส (Special Report on Global Warming of 1.5 °C) จากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ที่เผยแพร่ออกมาในปี 2018 ชี้ว่า ทุกการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกนั้นจะส่งผลกระทบที่สำคัญ
โดยตัวอย่างความแตกต่างของผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกระหว่าง 1.5 และ 2 องศาเซลเซียส ที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่
สภาพอากาศร้อนจัดที่เพิ่มขึ้น
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส วันที่อากาศร้อนจัดในเขตละติจูดกลางจะร้อนกว่าในระดับยุคก่อนอุตสาหกรรมประมาณ 3 องศาเซลเซียส
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส วันที่อากาศร้อนจัดในเขตละติจูดกลางจะร้อนกว่าในระดับยุคก่อนอุตสาหกรรมประมาณ 4 องศาเซลเซียส
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ประชากรโลกราว 14% จะเผชิญกับคลื่นความร้อนสูงในทุกๆ 5 ปี
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ประชากรโลกราว 37% จะเผชิญกับคลื่นความร้อนสูงในทุกๆ 5 ปี
ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 0.26-0.77 เมตรในปี 2100 เมื่อเทียบกับช่วงปี 1986-2005
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 0.36-0.87 เมตรในปี 2100 เมื่อเทียบกับช่วงปี 1986-2005
ความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลง
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส คาดว่าภายในปี 2100 แมลง 6% พืช 8% และสัตว์มีกระดูกสันหลัง 4% จะสูญเสียพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กำหนดโดยสภาพภูมิอากาศไปมากกว่าครึ่ง
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส คาดว่าผลกระทบจะรุนแรงเป็น 2-3 เท่า โดยภายในปี 2100 แมลง 18% พืช 16% และสัตว์มีกระดูกสันหลัง 8% จะสูญเสียพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กำหนดโดยสภาพภูมิอากาศไปมากกว่าครึ่ง
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส คาดว่าพื้นที่บนบกของโลกราว 4% จะเผชิญการเปลี่ยนผ่านของระบบนิเวศจากประเภทหนึ่งไปสู่อีกประเภทหนึ่ง
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส คาดว่าพื้นที่บนบกของโลกราว 13% จะเผชิญการเปลี่ยนผ่านของระบบนิเวศจากประเภทหนึ่งไปสู่อีกประเภทหนึ่ง
การละลายของน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติก
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่ามหาสมุทรอาร์กติกจะปราศจากน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนประมาณทุกๆ 100 ปี
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส คาดว่ามหาสมุทรอาร์กติกจะปราศจากน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนประมาณทุกๆ 10 ปี
การปราศจากน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกนั้นอาจเร่งให้ระดับอุณหภูมิโลกเพิ่มเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากน้ำทะเลที่เป็นสีน้ำเงินเข้มจะดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้
ความเสี่ยงต่อแนวปะการังสูญเสียสูงขึ้น
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส คาดว่าแนวปะการังทั่วโลกอาจลดลงอีก 70-90%
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส คาดว่าแนวปะการังทั่วโลกอาจลดลงมากกว่า 99% ซึ่งจะก่อให้เกิดความสูญเสียที่รุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งหลายแห่งแบบไม่มีทางย้อนกลับ
การทำประมงทั่วโลกลดลง
รายงานของ UN คาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส จะส่งผลให้ปริมาณการจับสัตว์น้ำประจำปีสำหรับการทำประมงทางทะเลทั่วโลก ลดลงประมาณ 1.5 ล้านตัน
หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส จะส่งผลให้ปริมาณการจับสัตว์น้ำประจำปีสำหรับการทำประมงทางทะเลทั่วโลกลดลงอีกเป็นเท่าตัว หรือประมาณ 3 ล้านตัน
ภาวะความยากจนที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบที่ตามมาจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นที่ต้องพึ่งพิงการเกษตรหรือการหาเลี้ยงชีพจากทรัพยากรตามแนวชายฝั่ง
ซึ่งการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส อาจช่วยลดจำนวนประชาชนทั่วโลกที่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศลงได้หลายร้อยล้านคน เมื่อเทียบกับการปล่อยให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึงระดับ 2 องศาเซลเซียส
ผลกระทบด้านสุขภาพ
การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่ 2 องศาเซลเซียส คาดว่าจะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนจัดหรือติดเชื้อจากพาหะนำโรค เช่น โรคมาลาเรียหรือไข้เลือดออกได้มากกว่า เมื่อเทียบกับระดับ 1.5 องศาเซลเซียส
ผลกระทบด้านอาหาร
การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่ 2 องศาเซลเซียส คาดว่าจะส่งผลที่รุนแรงกว่าระดับ 1.5 องศาเซลเซียส ในแง่ของผลผลิตทางการเกษตร อาทิ ข้าวโพด ข้าว ข้าวสาลี และธัญพืชต่างๆ ที่มีจำนวนลดลง รวมทั้งกระทบต่อการทำปศุสัตว์ โดยคาดว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะครอบคลุมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ไปจนถึงแถบแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา
สองหนทางในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญจากนี้คือ การที่ประเทศที่มีส่วนในการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด เช่น จีน สหรัฐฯ อินเดีย และรัสเซีย จะต้องเพิ่มความพยายามอย่างจริงจังในเร็ววันนี้ เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์และจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง 2 หนทาง คือ
1.จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ได้ 1.5 องศาเซลเซียส โดยจำเป็นต้องลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 45% ภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero หรือยุติการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี 2050
2.จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ได้ 2 องศาเซลเซียส จำเป็นต้องลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 25% ภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050
ซึ่งทั้งสองเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยความร่วมมือและความพยายามของทุกประเทศทั่วโลก
ขณะที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA ชี้ว่า การเปลี่ยนไปลงทุนด้านพลังงานสะอาดของทั่วโลก ยังสามารถทำให้โลกเดินไปสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ได้ แม้ว่าหนทางจะค่อนข้างลำบาก เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของทุกประเทศต่างทุ่มเทงบประมาณไปใช้เพื่อการรับมือการระบาดของโควิด ทำให้งบประมาณเพียง 2% หรือประมาณ 3.8 แสนล้านดอลลาร์ที่ถูกใช้เพื่อสนับสนุนโครงการด้านพลังงานสะอาด ซึ่งคิดเป็นเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของงบประมาณที่ IEA มองว่าจำเป็นในการมุ่งสู่ Net Zeo ในปี 2050
“หนทางนั้นคับแคบ แต่ยังสามารถประสบผลสำเร็จได้ หากเราลงมือทำในตอนนี้” ฟาทีห์ บิรอล กรรมการบริหารของ IEA กล่าว
อ้างอิง
- https://public.wmo.int/en/media/press-release/global-temperatures-set-reach-new-records-next-five-years
- https://www.washingtonpost.com/world/2021/11/10/15c-2c-climate-temperature-targets-cop26/
- https://www.economist.com/interactive/briefing/2022/11/05/the-world-is-going-to-miss-the-totemic-1-5c-climate-target