สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) ได้จัดทำรายงาน SDGs Mega Trend 2023 ระบุ 5 แนวโน้มสำคัญ เป็นประเด็นเร่งบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
หวังกระตุ้นให้ภาคธุรกิจใช้ศักยภาพและการปรับกลยุทธ์องค์กรในช่วงการฟื้นตัวจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 และมุ่งสู่แนวทางธุรกิจที่สมดุลยั่งยืนใน 5 มิติ ได้แก่
1. ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biod iversity) ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ต้องเร่งฟื้นฟู
2. การเงินที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) หัวใจขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
3. การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) บริหารรอบด้านเพื่อความยั่งยืนทั้งระบบ
4. แรงงานและงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Workforce&GreenJob) กระแสมาแรงของโลกการทำงานยุคใหม่
5. การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและนวัตกรรม (Energy Transition & Innovation) ลงทุนวันนี้ เพื่อความยั่งยืนวันหน้า
จากข้อมูลของ UNGCNT ดังกล่าว ผมขอโฟกัสไปที่หัวข้อแรก “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ซึ่งอยู่ในขั้นวิกฤตที่ภาคธุรกิจควรต้องมีบทบาท โดยปรับแนวทางการดำเนินงานไม่ให้มีส่วนซ้ำเติมปัญหา แต่ช่วยปกป้อง ดูแล และเร่งฟื้นฟู
ทั้งนี้เพราะ “ความหลากหลายทางชีวภาพ”(Biodiversity) หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของการมีพันธุ์พืชและสัตว์หลากหลายชนิด อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ดี ซึ่งนับเป็น “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” ที่มีทั้งคุณค่าและมูลค่า
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยตั้งต้นของวัตถุดิบ ที่ใช้ในการผลิต ต่อยอดเป็นสินค้าและบริการได้มากมายในหลายพื้นที่มีผลดีต่อธุรกิจการท่องเที่ยว เพราะทรัพยากรธรรมชาติ เป็นจุดดึงดูดสำคัญ
แต่ข่าวร้าย! การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพทุกวันนี้ นับเป็น1ใน 3 วิกฤตฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมของโลก ควบคู่กับปัญหาใหญ่ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกรวน
ยิ่งมาดูข้อมูลของ องค์กรอิสระระหว่างรัฐบาล ที่ระบุว่า ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา 75%ของพื้นผิวโลกที่ไม่ได้ปกคลุมด้วยน้ำแข็งเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยสำคัญ….
● มหาสมุทรส่วนใหญ่มีมลพิษ
● พื้นที่ชุ่มน้ำมากกว่า85%ถูกทำลาย
● มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดิน โดยเฉพาะการเปลี่ยนผืนป่าจำนวนมากทั่วโลกให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยว จึงทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม
ส่วนด้านผลกระทบต่อสัตว์โลก ข้อมูลจากกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wide Fund for Nature - WWF) ชี้ให้เห็นว่า การลดจำนวนลง 2 ใน 3 ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และปลา ในแถบเอเชีย-แปซิฟิก อาจนำไปสู่วิกฤตทางอาหารได้ในอนาคต
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สภาพความหลากหลายทางชีวภาพยิ่งแย่ลง
ผลที่ตามมาก็คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทั้งบนบก ในแหล่งน้ำจืด และในมหาสมุทร ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ถูกทำลาย เพราะเกิดความเสี่ยงจากโรคต่างๆ ที่ทำให้พืชและสัตว์จำนวนมากล้มตาย
โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme) หรือ UNEP ประเมินว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม(GDP)ของโลกกว่าครึ่งที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้ จึงไม่เพียงส่งผลเสียต่อพืชและสัตว์ แต่จะส่งผลกระทบต่อฐานทรัพยากรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกด้วย
ดังนั้นการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 73 จึงประกาศให้ปี 2021- 2030 เป็นทศวรรษแห่งการฟื้นฟูระบบนิเวศ
ยืนยันด้วยผลการสำรวจความเห็นของผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจชั้นนำทั่วโลก 2,600 คน จาก 128 ประเทศเมื่อปลายปี 2022 ที่ดำเนินการโดย UN Global Compact ร่วมกับ Accenture
80% ของ CEOเหล่านี้ เข้าใจดีว่า การดำเนินธุรกิจได้ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร และความหลากหลายทางชีวภาพเป็นองค์ประกอบหลักของความยั่งยืนและรายการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด ซึ่งภาคธุรกิจยังมีการดำเนินงานน้อยในเรื่องนี้ มีเพียง 35% ของ CEO เท่านั้นที่ได้ริเริ่มโครงการปกป้องธรรมชาติหรือฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
แต่ก็ยังมี CEO ชั้นนำอยู่บ้างที่เริ่มพัฒนาโมเดลธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่ส่งผลลัพธ์เชิงบวกต่อธรรมชาติ
ส่วนประเทศไทย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเป็นหน่วยประสานงานหลักของทุกภาคส่วน มีแผนจะปฏิรูปกฎด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจะมีกฎหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่เหมาะสมและสอดคล้องกับประชาชนโลก ให้มีผลในอีกไม่นาน
สรุปแล้ว วิกฤตฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ย่อมผลักดันให้โลกจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อรับสถานการณ์และมีมาตรการแก้ไขปัญหา ขณะที่ภาคเอกชนที่สามารถปรับวิธีการดำเนินธุรกิจให้ทันการณ์ เมื่อมีความพร้อมกว่าในแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืน ก็จะกลายเป็นองค์กรธุรกิจที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของกฎระเบียบการส่งเสริมธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพและได้เปรียบในการแข่งขันยุคใหม่
suwatmgr@gmail.com