การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ถูกบรรจุเป็นวาระสำคัญ ที่ทุกประเทศในโลก รวมทั้งประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน ผลักดันให้ภาคส่วนต่าง ๆ ลุกขึ้นมาดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง รวมถึงภาคเอกชนที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนวาระดังกล่าว ด้วยการผนวกเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินงานทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศควบคู่ไปพร้อมกัน
องค์การแห่งความริเริ่มว่าด้วยการรายงานสากล (GRI) โดยศูนย์ภูมิภาคอาเซียน GRI ร่วมกับคณะธุรกิจมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS Business School) โดยศูนย์ธรรมาภิบาลและความยั่งยืน (CGS) ทำการศึกษากิจการในภูมิภาคอาเซียน 6 ประเทศ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) จำนวน 600 บริษัท โดยคัดเลือกจากบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดร้อยอันดับในตลาดหลักทรัพย์ของแต่ละประเทศ ต่อการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการ
ผลการศึกษาได้ถูกจัดทำเป็นรายงานที่มีชื่อว่า Climate Reporting in ASEAN: State of Corporate Practices เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2565 พบว่า ในบรรดา 600 บริษัทที่ทำการศึกษา มีบริษัท 420 แห่ง ได้มีการจัดทำรายงานแห่งความยั่งยืนที่เปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วย บริษัทในประเทศอินโดนีเซีย 55 แห่ง มาเลเซีย 98 แห่ง ฟิลิปปินส์ 66 แห่ง สิงคโปร์ 98 แห่ง ไทย 63 แห่ง และเวียดนาม 40 แห่ง
การวิเคราะห์การเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการในอาเซียน พิจารณาใน 7 ด้านหลัก ได้แก่ กรอบการรายงาน (reporting framework) สารัตถภาพ (materiality) ความเสี่ยงและโอกาส (risks and opportunities) ธรรมาภิบาล (governance) กลยุทธ์ (strategy) เป้าหมาย (targets) และผลการดำเนินงาน (performance)
โดยอัตราการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการโดยรวม (Overall Rating) ใน 6 ประเทศภูมิภาคอาเซียน อยู่ที่ 46% นำโดยประเทศไทยอยู่ในอันดับสูงสุดของกลุ่มในอัตรา 57% รองลงมาเป็นมาเลเซียและสิงคโปร์ในอัตราที่ 48% เท่ากัน ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ 44% ฟิลิปปินส์ที่ 42% และเวียดนามที่ 24% ตามลำดับ
ประเทศไทยมีอัตราการเปิดเผยข้อมูลสูงสุดในด้านสารัตถภาพ (74.6%) ความเสี่ยงและโอกาส (66.9%) ธรรมาภิบาล (61.2%) เป้าหมาย (69.4%) และผลการดำเนินงาน (59.4%) และยังมีการเปิดเผยข้อมูลด้านการใช้เชื้อเพลิงทดแทนสูงที่สุดในกลุ่ม (38%)
มาเลเซียมีอัตราการเปิดเผยข้อมูลสูงสุดในด้านการระบุโอกาสที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (74.5%) และข้อพิจารณาขององค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับกลยุทธ์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในระยะยาว (41.8%)
สิงคโปร์มีความโดดเด่นในการติดตามและการเปิดเผยตัววัดที่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการดำเนินงานในอดีตสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้ม (77.6%) การชี้แจงถึงที่มาของเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (70.4%) และการแสดงถึงการผูกโยงค่าตอบแทนกับผลลัพธ์ในการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (14.3%)
ผลการศึกษาด้านกรอบการรายงานที่ใช้ในการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ พบว่า กิจการใน 6 ประเทศภูมิภาคอาเซียน ใช้ GRI Standards มากสุดในอัตรา 85% รองลงมาเป็น SDG Framework ที่อัตรา 76% เมื่อเทียบกับกรอบการเปิดเผยข้อมูลอื่น (ได้แก่ IIRC, SASB, TCFD) ที่ถูกใช้อ้างอิงในอัตราที่ไม่ถึง 50%
ส่วนการวิเคราะห์การเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการในอีก 6 ด้าน ที่ประกอบด้วย ด้านสารัตถภาพ ด้านความเสี่ยงและโอกาส ด้านธรรมาภิบาล ด้านกลยุทธ์ ด้านเป้าหมาย และด้านผลการดำเนินงาน พบว่า หัวข้อที่มีการเปิดเผยมากสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ ประเด็นสาระสำคัญที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การมอบหมายความรับผิดชอบที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศแก่คณะกรรมการระดับบริหาร และการเปิดเผยตัววัดที่เป็นข้อมูลผลการดำเนินงานในอดีตสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้ม
ขณะที่ หัวข้อที่มีการเปิดเผยน้อยสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ ข้อชี้แจงถึงกลยุทธ์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในระยะกลาง ข้ออธิบายการใช้การวิเคราะห์ฉากทัศน์ที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเป็นข้อมูลนำเข้าสำหรับการจัดทำกลยุทธ์ และการแสดงการผูกโยงค่าตอบแทนกับผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
อนึ่ง การพัฒนากรอบการศึกษาเพื่อใช้ประเมินความครบถ้วนต่อการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการในอาเซียนครั้งนี้ อ้างอิงกรอบการรายงานและมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ประกอบด้วย Global Reporting Initiative (GRI), Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD), Greenhouse Gas (GHG) Protocol, Science-based Target initiative (SBTi), Carbon Disclosure Project (CDP) และ United Nations Sustainable Development Goals (SDG)
"แนวโน้มการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะทวีความเข้มข้นมากขึ้น และกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้ทันต่อวิกฤตการณ์ที่เป็นภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งสภาพอากาศสุดขั้ว อุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในหลายภูมิภาค ภัยแล้ง วิกฤตไฟป่า รวมทั้งอุทกภัยที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งภัยทางธรรมชาติเหล่านี้ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาคธุรกิจอุตสาหกรรม"
บทความ : ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์