ทีมนักวิจัยศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ค้นพบ “แอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด-19” จากร่างกายมนุษย์ ต่อยอดเป็นนวัตกรรม “โควิแทรป” สเปรย์พ่นจมูกดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ด้วยแอนติบอดี้ที่ผ่านการรับรองเป็นเครื่องมือแพทย์ครั้งแรกในโลก มั่นใจช่วยรับมือการแพร่เชื้อโควิดร่วมกับมาตรการการป้องกันอื่นๆ
ปัจจุบันมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 ได้รับการผ่อนปรนขึ้นมากจนสามารถถอดหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะบางพื้นที่ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเชื้อโควิด-19 หายไปจากโลกนี้แล้ว อันที่จริง ยังคงมีผู้ป่วยและการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 อยู่การเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้ติดเชื้อจึงยังเป็นเรื่องจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาสุขภาพ การฉีดวัคซีน รวมถึงการสวมใส่หน้ากากอนามัย
แต่จะดีแค่ไหน หากเรามีตัวช่วยที่สามาถยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้ตั้งแต่โพรงจมูก ก่อนที่เชื้อจะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจในร่างกาย
อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการทำงานวิจัยและการค้นพบ “แอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด-19” ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสเปรย์พ่นจมูกดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ด้วยแอนติบอดี้ว่า “ช่วงการระบาดโรคโควิด-19 ระลอกแรกเดือนเมษายน 2563 เรากังวลกันว่าจะรับมือการระบาดไหวไหม มีคนไข้ที่อาการรุนแรงและเสียชีวิตด้วย ก็เลยหารือกัน ขณะนั้นทางทีมวิจัยของศูนย์ฯ กำลังศึกษาและทำยารักษามะเร็งอยู่ เราจึงเห็นว่าองค์ความรู้และความสามารถที่เรามีในการพัฒนายาจากแอนติบอดี้ น่าจะช่วยในการรับมือโรคโควิดได้”
ด้วยความร่วมมือของ 5 ภาคี ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), องค์การเภสัชกรรม และ บริษัท ไฮไบโอไซ จำกัด ทีมนักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำองค์ความรู้จากการค้นพบ “แอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด-19” มาต่อยอดและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ “โควิแทรป - สเปรย์พ่นจมูกดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมแรกในโลก ที่นำแอนติบอดี้มาสร้างเป็นสเปรย์พ่นจมูกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. ให้เป็นเครื่องมือแพทย์ประเภทที่ 4 เพื่อดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ในโพรงจมูก
๐ แอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด
อ.นพ.ไตรรักษ์ ย้อนเล่าถึงการวิจัยและค้นพบ “แอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด-19” ว่าทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่หายดีแล้วจำนวนกว่า 300 คน แล้วนำเลือดที่ได้มาตรวจหาบีเซลล์ (B cells) เพื่อค้นหาเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่สามารถสร้างแอนติบอดี้ที่จัดการเชื้อโควิด-19 ได้
“จากบีเซลล์นับล้านตัว เรานำมาผ่านกระบวนการ High-Throughput Screening จนพบบีเซลล์ที่ผลิตแอนติบอดี้ที่สามารถต้านเชื้อโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นก็นำบีเซลล์นี้ไปทำการถอดรหัสพันธุกรรมของยีนแอนติบอดี้ (Immunoglobulin Gene) แล้วนำเข้าสู่การผลิตแอนติบอดี้โดยกระบวนการทางอุตสาหกรรมเพื่อให้ได้แอนติบอดี้ปริมาณมาก”
อ.นพ.ไตรรักษ์ อธิบายว่าเมื่อแอนติบอดี้ดังกล่าวถ้าเข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้ว ก็จะช่วยดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ที่เข้ามาในบริเวณนั้นๆ “อย่างกรณีที่ใช้วิธีฉีดแอนติบอดี้เข้าไปในร่างกาย แอนติบอดี้ก็จะเข้าไปป้องกันส่วนต่างๆ ในร่างกาย เช่น กระแสเลือด ปอด ลำไส้ เยื่อบุต่างๆ ส่วนวิธีการพ่นแอนติบอดี้เข้าไปในจมูก แอนติบอดี้ก็จะเคลือบอยู่บนผิวเยื่อบุของโพรงจมูก ป้องกันไม่ให้ไวรัสจับกับเซลล์เยื่อบุโพรงจมูกแล้วเข้าไปในร่างกายจนเกิดการติดเชื้อในร่างกาย”
๐โควิแทรปต่างจากวัคซีนอย่างไร
แม้โควิแทรปจะมีแอนติบอดี้ที่ยับยั้งเชื้อโควิดได้ แต่ไม่อาจทดแทนวัคซีนได้ “แอนติบอดี้และวัคซีนแม้จะเป็นสิ่งที่สามารถใช้รับมือกับเชื้อโควิด-19 ได้ทั้งคู่ แต่ก็มีคุณสมบัติและการทำงานที่ต่างกัน จึงไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้” อ.นพ.ไตรรักษ์ อธิบาย
“การทำงานของวัคซีนเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้และเซลล์เม็ดเลือดขาวขึ้นมากำจัดเชื้อโรคที่อาจเข้ามาในร่างกายของเรา ซึ่งการสร้างภูมิคุ้มกันให้สำเร็จต้องใช้เวลาระยะหนึ่งหลังการฉีดวัคซีน เมื่อภูมิคุ้มกันขึ้นแล้วภูมิคุ้มกันนี้จะอยู่กับร่างกายได้นาน แต่การกระตุ้นภูมิคุ้มกันก็อาจทำให้บางคนเกิดอาการแพ้ได้ ส่วนแอนติบอดี้ที่อยู่ในโควิแทรปนั้นเป็นเสมือน ‘ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป’ ที่ถูกผลิตจากโรงงาน เมื่อพ่นเข้าในโพรงจมูกแล้ว จะสามารถยับยั้งเชื้อโควิดในบริเวณนั้นได้เลย
โดยที่แอนติบอดี้จะไม่เข้าไปในร่างกายและไม่มีการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตแอนติบอดี้ ขึ้นมา ทำให้มีโอกาสเกิดอาการแพ้ต่ำกว่าการฉีดวัคซีน แต่ก็มีข้อเสียคืออยู่ได้ไม่นาน (ราว 6 ชั่วโมง) เนื่องจากร่างกายไม่ได้ถูกกระตุ้นให้ผลิตแอนติบอดี้ออกมาเหมือนวัคซีน ทำให้แอนติบอดี้สำเร็จรูปที่เข้าไปในโพรงจมูกถูกขับทิ้งไปตามธรรมชาติโดยไม่มีการผลิตเพิ่ม”
๐ โควิแทรป ใช้ง่าย ปลอดภัย ปกป้องมั่นใจยับยั้งโควิด-19
ในเมื่อเราได้รับวัคซีนแล้ว สวมใส่หน้ากากแล้ว ทำไมเราจึงต้องใช้สเปรย์พ่นจมูก?
“โควิแทรปและหน้ากากอนามัยทำหน้าที่เสริมกัน ถ้านำทั้งสองอย่างมาใช้ร่วมกันก็จะมีประสิทธิภาพในการรับมือกับเชื้อโควิด-19 มากกว่าการใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ใช้อะไรปกป้องเลย” อ.นพ.ไตรรักษ์ ตอบ พร้อมยกตัวอย่างการใช้สเปรย์พ่นจมูกในการดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19
“หากเราอยู่ในพื้นที่แออัดแล้วต้องถอดหน้ากากอนามัย การป้องกันของเราก็หายไปแล้ว การใช้โควิแทรปก็จะช่วยทำหน้าที่ปกป้องเราจากเชื้อโรคได้ โควิแทรปเหมาะกับคนที่อยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ เช่นอยู่ในพื้นที่แออัด พื้นที่ปิด หรืออยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องถอดหน้ากากอนามัยในที่ๆ มีคนเยอะๆ”
โควิแทรปเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัย ใช้งานง่าย ที่สำคัญคือปลอดภัย โดยนวัตกรรมชิ้นนี้ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยในกลุ่มอาสาสมัครอายุ 18-60 ปีแล้ว
“โควิแทรปเป็นสเปรย์พ่นจมูกที่มีแอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงที่ค้นพบมาจากผู้ป่วยที่ติด เชื้อโควิด-19 ที่หายดีแล้ว มีความปลอดภัยสูง การพ่นแอนติบอดี้เข้าไปไม่ใช่เพื่อกระตุ้นภูมิในร่างกาย และไม่ได้เข้าไปในระบบต่างๆ ของร่างกาย ตัวแอนติบอดี้เคลือบอยู่บนผิวเยื่อบุโพรงจมูกเท่านั้น และสามารถดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้ราว 6 ชั่วโมงก่อนที่จะถูกขับทิ้งไปตามธรรมชาติ”
อย่างไรก็ตาม อ.นพ.ไตรรักษ์ แนะนำว่าควรใช้สเปรย์ “โควิแทรป” เท่าที่จำเป็น หากใช้แล้วมีอาการผิดปกติ ก็ไม่ควรใช้ต่อ และควรใช้กับเด็กที่โตพอที่จะสื่อสารได้เท่านั้น เพื่อที่จะได้ทราบว่าเด็กมีอาการผิดปกติหรือไม่
๐ ต่อยอดงานวิจัย “แอนติบอดี้ต้านเชื้อโควิด” ในอนาคต
อ.นพ.ไตรรักษ์ กล่าวว่าโควิแทรปเป็นนวัตกรรมที่มีความยืดหยุ่นสูง นอกจากการนำตัวแอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด-19 มาพ่นจมูกแล้ว ยังสามารถนำแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัสทางเดินหายใจตัวอื่นๆ มาพัฒนาต่อยอดเป็นสเปรย์พ่นจมูกเพื่อรับมือกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆได้อีก
“ในอนาคตหากเชื้อโรคโควิด-19 เกิดการกลายพันธุ์ หรือมีโรคอื่นๆ เกี่ยวกับการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่ เชื้อ RSV ทีมวิจัยของศูนย์ฯ ก็สามารถพัฒนาแอนติบอดี้ให้สามารถดักจับและยับยั้งเชื้อตัวใหม่ได้”
นอกจากนั้น อ.นพ.ไตรรักษ์ ยังกล่าวถึงแนวคิดที่อาจจะปรับใช้ตัวแอนติบอดี้เพื่อพ่นสเปรย์ให้กับสัตว์ด้วย โดยต้องปรับวิธีการสเปรย์ให้เหมาะสมกับสัตว์ “เพราะเป็นที่ทราบกันอยู่ว่าสัตว์ก็เป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของโรคเช่นกัน”
อ.นพ.ไตรรักษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เราจะต้องอยู่กับโควิด-19 ไปตลอดชีวิต มันไม่มีทางที่จะหมดไปในปีสองปีนี้อย่างแน่นอน และในอนาคตอาจจะมีเชื้ออื่นๆ เกิดขึ้นมาอีกก็ได้ ซึ่งเราต้องรับมือกับมันในระยะยาวให้ได้”
โควิแทรปผ่านการทดสอบตามมาตรฐานขององค์การอาหารและยา และขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องมือแพทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันมีวางจำหน่ายตามร้านขายยาชั้นนำทั่วไป สามารถอ่านงานวิจัย นวัตกรรมสเปรย์พ่นจมูกดักจับและยับยั้งโควิด-19 ด้วยแอนติบอดี้ ได้ที่ https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2022.10.04.22280574v1