ในฐานะการจะเป็นแบรนด์และองค์กรที่มีเป้าประสงค์ในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืน หนึ่งในคำถามสำคัญที่คุณต้องพึงถามตัวเองเสมอก็คือ “บริษัทของคุณจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นได้อย่างไร”
เรื่องนี้เป็นคำถามที่เหมือนง่ายแต่ตอบยาก และบรรดาผู้เชี่ยวชาญเรื่องความยั่งยืนหลายคนบอกตรงกันว่าเมื่อก่อนคุณอาจไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ แต่ในวันที่โลกเปลี่ยนไปจากปัญหาที่รุมเร้าอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเหลื่อมล้ำ แนวโน้มผู้บริโภคและนักลงทุนที่ให้ความสำคัญเรื่องการปล่อยคาร์บอนฯ การแสวงหาแนวทางใหม่ในการทำธุรกิจที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ในอดีตเมื่อเราพูดถึงธุรกิจเรามักจะพูดถึงเกี่ยวกับประสิทธิภาพต้นทุน จากเครื่องจักรสายการประกอบไปจนถึงคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีใหม่ๆ มักจะเกี่ยวกับการลดต้นทุน ในขณะเดียวกัน ความดีเพื่อสังคมหมายถึงความร่วมมือเพื่อการกุศลหรือการริเริ่มปลูกต้นไม้ประจำปีของพนักงาน มาจนถึงแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) ที่เกิดขึ้นในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ที่ผ่านมาหลายคนเห็นช่องว่างระหว่างรายได้กับความรับผิดชอบต่อสังคมมากเกินไป
ปีที่ผ่านมาเมื่อ พอล โพลแมน หนึ่งในนักธุรกิจที่สำคัญคนหนึ่งแห่งยุค อดีตซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างยูนิลีเวอร์ และ “แอนดรู วินสตัน” ผู้นำทางความคิดเกี่ยวกับธุรกิจที่ยั่งยืน และผู้เขียนหนังสือที่ขายดีเกี่ยวกับเมกะเทรนด์ ได้แนะนำแนวคิด “Net Positive” ผ่านหนังสือของพวกเขาที่ชื่อว่า “Net Positive: How Courageous Companies Thrive by Give More Than They Take” นี่จึงกลายเป็นนิยามใหม่ของธุรกิจและเป็นแนวทางความรับผิดชอบมากขึ้นขององค์กรที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
วิพากษ์จุดอ่อนของรูปแบบดั้งเดิมในการดำเนินธุรกิจ โดยระบุว่า “จากแนวคิดที่ว่า หน้าที่เดียวของธุรกิจคือการเพิ่มผลกำไร ไปจนถึงความหวังที่ไร้เดียงสาที่ว่าความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรจะช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์เราจากภัยพิบัติ วิธีการเหล่านี้เป็นแต่เพียงเส้นทางสู่หายนะ” และขยายความว่า “ธุรกิจในสภาพแวดล้อมใหม่แตกต่างจากคนที่เคยอยู่ในอดีต กิจกรรมซีเอสอาร์ การบริจาคแบบเดิมมันไม่เพียงพอแล้วสำหรับโลกยุคนี้ ผู้นำจะต้องคิดให้ได้ว่าธุรกิจจะดำรงอยู่และสร้างการเติบโตอย่างไร รวมถึงจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลกนี้อย่างไร”
โพลแมนและวินสตัน เสนอรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่ที่ชื่อ “Net Positive” มีแนวคิดหลักในการสร้างความดีแทนที่จะสร้างความเสียหายซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจในแบบที่แตกต่างออกไปจากปัจจุบัน ภายใต้หลักการเบื้องต้น 5 ประการที่จะขับเคลื่อนบริษัทต่างๆ ไปสู่ Net Positive ได้แก่ 1.การรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดจากธุรกิจของบริษัทเหล่านั้นเอง 2.การยังประโยชน์สู่สังคมในระยะยาว 3.การสร้างคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม 4.การทำให้ผลกำไรตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเป็นผลลัพธ์ไม่ใช่เป็นตัวตั้งต้น 5.การช่วยกันสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นในแบบสอดประสาน
เขายกตัวอย่างง่ายๆให้เห็นภาพว่า ตัวอย่างเช่น ธุรกิจเหล่านี้จะกำจัดคาร์บอนออกไปให้มากกว่าคาร์บอนที่ธุรกิจเหล่านั้นปล่อยออกมา ไม่ใช่แค่ชดเชยให้เหลือศูนย์แต่ต้องเพิ่มมากกว่าเดิม ธุรกิจเหล่านี้จะใช้พลังงานหมุนเวียนรวมถึงวัสดุหมุนเวียน ไม่สร้างขยะและสร้างทุกสิ่งโดยหลักการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ เป็นต้น
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้สร้างความเป็นไปได้มากขึ้นสำหรับนวัตกรรมทางสังคม และตอกย้ำความเป็นจริงที่ว่าความรับผิดชอบต่อสังคมควรถูกสร้างขึ้นในการดำเนินธุรกิจ ความเป็นบวกสุทธิคือวิวัฒนาการของความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร และการใช้เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ช่วยให้ผู้นำธุรกิจสามารถดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อผลักดันผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ในขณะเดียวกันก็สร้างมูลค่าระยะยาวให้กับธุรกิจ
ในหนังสือ Net Positive มีหลักสำคัญ 3-4 ประการ ได้แก่
1.คิดถึงมูลค่าระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้นเสมอ ธุรกิจจำเป็นต้องเข้าใจผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจใดๆ แม้ว่าเป้าหมายทางธุรกิจจะขึ้นอยู่กับรายได้ก็ตาม เมื่อบริษัทมุ่งเน้นไปที่รายได้เพียงอย่างเดียว พวกเขามองข้ามปัจจัยอื่นๆ ในธุรกิจ
2.ให้ความสำคัญกับ “คน” เป็นอันดับแรก บริษัท Net-positive ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมถึงพนักงาน ผู้บริโภค ผู้ถือหุ้น ซัพพลายเออร์ และชุมชน คนเป็นรากฐานของบริษัทที่คิดบวก โดยเพิ่มองค์ประกอบของมนุษย์ในการตัดสินใจทางธุรกิจแต่ละครั้ง ตัวอย่างเช่น การเพิ่มผลประโยชน์ของพนักงานให้สูงสุดควรเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อพูดถึงเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ แทนที่จะสร้างประสิทธิภาพ พนักงานจะเพิ่มทักษะหรือเพิ่มทักษะเพื่อยกระดับอาชีพของพวกเขาได้อย่างไร นี่เป็นโอกาสสำหรับพนักงานที่จะเติบโตและสามารถดึงดูดผู้มีความสามารถใหม่ ๆ ได้
3.ทิ้งแนวคิดการลงทุนแบบเดิมๆหากผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ใช่แค่การเงิน เหตุใดจึงควรเป็นการลงทุน การลงทุนสามารถแปลเป็นเวลาที่จัดสรรสำหรับการวิจัย การจัดการ และการกระจายทรัพยากร ตัวอย่างเช่น แม้ว่าเทคโนโลยีใหม่อาจให้โอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น แต่ผลกระทบระยะยาวที่มีต่อสิ่งแวดล้อมสามารถลดมูลค่าของการลงทุนได้
4.จงรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดจากธุรกิจของเราในวงกว้างและในระดับที่มากยิ่งขึ้นอีก – หัวใจสำคัญอันหนึ่งของ Net Positive คือการให้ที่มากกว่าได้รับ มากกว่าความพยายามในการแก้ปัญหาผลกระทบที่องค์กรสร้างขึ้น พวกเขายังเชื่อว่าบริษัทสามารถร่วมช่วยแก้ปัญหา และร่วมเผชิญความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากกว่าการทำเพื่อประโยชน์ของบริษัทเพียงอย่างเดียว เช่น การยกระดับอุตสาหกรรมอาหารที่ซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม ได้ดำเนินการเพื่อตอบสนองเป้าหมาย SDG 3 Good Health & Well-being และ SDG 15 Life on Land หรือการที่บริษัทโซเชียลมีเดีย ที่ช่วยให้ผู้คนค้นพบความจริง ในขณะที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกระบวนการเพื่อประชาธิปไตย เป็นต้น
อาจจะอย่างที่ โพลแมน บอกว่าในปัจจุบันยังไม่มีบริษัทใดเลยที่บรรลุเป้าหมายในการเป็น Net Positive แต่ก็มีบริษัทที่เดินอยู่บนเส้นทางนี้มากขึ้นนั่นเท่ากับว่าเราสามารถเป้าหมายใหม่ที่ปลดล็อคคุณค่าธุรกิจให้เดินมาไกลกว่าที่เคย และจะช่วยแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับพวกเราทุกคน
บทความโดย ฐิติภา ลักษณพิสุทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารแบรนด์ที่ยั่งยืน
เกี่ยวกับผู้เขียน : ฐิติภา ลักษณพิสุทธิ์ เป็นผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารแบรนด์ที่ยั่งยืน การบริหารการสื่อสารในวิกฤตและการบริการจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ที่มีประสบการณ์ขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านการสื่อสารในองค์กรธุรกิจระดับโลกและบริษัทชั้นนำในไทยมากว่า 25 ปี
ที่มา:
1.Paul Polman and Andrew Winston, “Net positive: how courageous companies thrive by giving more than they take”, Harvard Business Review Press, 2021
2.https://www.forbes.com/.../net-positive-is-the-new.../...
3.https://hbr.org/2021/09/the-net-positive-manifesto
4.https://www.euruni.edu/.../paul-polman-andrew-winston.../