xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตัว “Primates Enterprise” จิ๊กซอว์ใหม่ ตอบโจทย์ BCG เพิ่มศักยภาพการพัฒนายา-วัคซีน ช่วยหยุด “สัตว์ทดลอง” ผิดกฎหมาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์วิจัยไพรเมทเเห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัว “บริษัท Primates Enterprise จำกัด” เปรียบเหมือนจิ๊กซอว์ใหม่รองรับการเติบโตระดับโลก และช่วยหยุดการใช้ ”สัตว์ทดลอง”แบบผิดกฎหมาย เดินหน้าเพิ่มศักยภาพการพัฒนายา-วัคซีนตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ด้านสถาบันวัคซีนฯ ระบุปัจจัยความสำเร็จอยู่ที่การสร้างสมดุลการพัฒนาระหว่างคนและสถานที่ มั่นใจประเทศไทยสามารถพัฒนาถึงขั้นพึ่งพาตนเองได้ และพร้อมรับมือโรคอุบัติใหม่ในอนาคต

ศาสตราจารย์ ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดี ด้านการวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการสนับสนุนงานวิชาการที่เกี่ยวกับไพรเมทหรือลิงว่า จุฬาฯ ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ย้อนไปกว่า 30 ปีก่อน ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับงานวิชาการเกี่ยวกับไพรเมทหรือลิง มีการศึกษาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ จากนั้นจึงมีการริเริ่มพัฒนาศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการนำงานด้านวิชาการมาสู่การประยุกต์ใช้ อย่างไรก็ตาม ย้อนไปเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมในการพัฒนายาและวัคซีนกับสัตว์ทดลองในตระกูลไพรเมท ดังนั้น ถ้าในวันนั้นไม่มีการริเริ่มก่อตั้งศูนย์ฯ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 ก็คือ ประเทศไทยจะเผชิญปัญหาใหญ่เพราะจะไม่สามารถพัฒนาวัคซีนใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ได้เร็วเท่านี้

ศูนย์วิจัยไพรเมทเเห่งชาติ จุฬาฯ เปิดให้เข้าเยี่ยมชม
“จุฬาฯ ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการพัฒนาในเรื่องนี้ ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดสรรเงินลงทุนทั้งที่ได้รับจากรัฐบาลและของจุฬาฯ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือบทบาทความสำคัญของศูนย์ฯ ไม่เพียงในประเทศไทย แต่เป็นส่วนหนึ่งของแพลทฟอร์มในการพัฒนายาและวัคซีน รวมทั้งเวชภัณฑ์ระดับโลก เพราะจุฬาฯ ไม่สามารถดำเนินการได้เพียงลำพัง ดังนั้น แพลทฟอร์มนี้ต้องอาศัยมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมกันพัฒนา ซึ่งที่ผ่านมามีการสร้างเครือข่ายกับนานาชาติทั่วโลก มีการใช้ประโยชน์จากลิงผ่านศูนย์ฯ ของประเทศไทย โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือความเท่าเทียมกันของคนไทยในการเข้าถึงยาและวัคซีน รวมทั้งเวชภัณฑ์ เมื่อสามารถพัฒนาสิ่งเหล่านี้ได้เอง

นอกจากนี้ ในอีกมุมหนึ่งคือขั้นตอนหรือกระบวนการพัฒนายาและวัคซีนจำเป็นต้องใช้สัตว์ทดลอง ดังนั้น ถ้าไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานสากล ซึ่งต้องดูแลสวัสดิภาพสัตว์เพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ทรมาน หากไม่มีระบบและมาตรฐานที่ดีจะทำให้สัตว์เกิดความทุกข์ทรมานได้และเกิดการลักลอบทำอย่างผิดกฎหมาย

ศูนย์วิจัยไพรเมทเเห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี
ศาสตราจารย์ ดร. สุจินดา มาลัยวิจิตรนนท์ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยไพรเมทเเห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจากการลงนามความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ กับสภาวิจัยแห่งชาติเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 เพื่อก่อตั้งศูนย์วิจัยไพรเมทเเห่งชาติ จุฬาฯ ปัจจุบันครบรอบ 11 ปี โดยศูนย์ฯ มีหลักการในการทำงานคือมุ่งเน้นด้านวิชาการและรองรับงานวิจัยของนักวิจัยไทยเป็นหลัก สำหรับบริษัท Primates Enterprise จำกัด เพิ่งจะ spin off จากศูนย์ฯ เพื่อรองรับนักวิจัยต่างชาติ ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เกาหลี จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเยอรมนี ซึ่งมีความสนใจในการใช้ลิงในงานวิจัย และเมื่อได้เห็นศักยภาพของศูนย์ฯ แล้วเกิดความประทับใจเพราะคาดไม่ถึงว่าจะทำได้ดีเช่นนี้ เนื่องจากเป็นศูนย์ฯ แรกของเอเชียที่ได้การรับรองมาตรฐานจาก AAALAC International ซึ่งเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการดูแลและการเลี้ยงสัตว์ทดลอง และมาตรฐาน OECD-GLP ซึ่งเป็นมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการ

การแยกตัวออกมาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน ทำให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้รวดเร็วขึ้น สามารถรองรับการวิจัยได้สอดรับกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น วันนี้จึงเห็นชาวต่างชาติจำนวนมากมาเยี่ยมชมศูนย์ฯ ซึ่งการนำงบประมาณจากจุฬาฯ มาใช้ก่อตั้งบริษัทฯ จะทำให้เกิดประโยชน์ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เข้าประเทศซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจาหลายร้อยล้านบาท นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสได้รับองค์ความรู้จากต่างชาติที่นำเข้ามาในไทยผ่านโครงการวิจัยต่างๆ และยังมีการปรึกษาถึงแนวทางนำนักวิจัยไทย สัตวแพทย์และสัตวบาลไปรับการอบรมในต่างประเทศ

“เนื่องจากปัจจุบันศูนย์ฯ เติบโตมาอยู่ในระดับนานาชาติแล้ว สามารถก้าวมาอยู่ระดับแนวหน้าเทียบเท่ากับแห่งอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 50 ปี เขามาเห็นของเราแล้วร้องคำเดียวว่า wow เมื่อเห็นเรามาไกลขนาดนี้”

ศูนย์วิจัยไพรเมทเเห่งชาติ จุฬาฯ เปิดให้เข้าเยี่ยมชมในวาระครบรอบ 11 ปี
ศาสตราจารย์ ดร. สุจินดา ยังย้ำถึงมาตรฐานการใช้สัตว์ทดลองเพื่อการวิจัยและพัฒนายาและวัคซีน รวมทั้งเวชภัณฑ์ว่า “เรื่องการใช้สัตว์ทดลอง ด้วยความที่เราเป็นคนไทย จึงมีบางส่วนมองว่าเป็นความโหดร้าย แต่ศูนย์ฯ มีคณะกรรมการจริยธรรมดูแลอยู่ ดังนั้น ในการใช้สัตว์ทดลองของเราเป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก มีหลักเกณฑ์ในการทำงาน โดยการพยายามใช้สัตว์จำนวนน้อยที่สุด แต่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะเห็นได้ว่าในโซนภูมิภาคอาเซียน เราเป็นศูนย์เดียวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานดังกล่าว ทำให้เราเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่สามารถนำวัคซีนโควิด-19 มาเข้าสู่การทดสอบในระดับ Clinical หรือในมนุษย์ ดังนั้น แม้ว่าเราจะใช้สัตว์ทดลองหรือลิง แต่เรามีกฎเกณฑ์ในการใช้อย่างเคร่งครัด เป็นการทำงานภายใต้หลักสากล”

นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อต้องการพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้กับมนุษย์ จึงจำเป็นต้องผ่านการทดสอบในสัตว์ทดลอง และที่สำคัญคือการทดสอบในลิง ดังนั้น หากไม่เกิดแพลทฟอร์มการพัฒนานี้ขึ้น จะจำเป็นต้องไปทดสอบในต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อเข้าคิวรอและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ดังนั้น เมื่อประเทศไทยหวังว่าจะพัฒนาวัคซีนในประเทศเพื่อการพึ่งพาตนเองก็ต้องดำเนินการเช่นนี้ ซึ่งในช่วง 3 ปีของการระบาดของโควิด สถาบันฯ มีโอกาสทำงานร่วมกับศูนย์ฯ ในการของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อสร้างศักยภาพให้ได้มาตรฐาน เพื่อเป็นที่พึ่งภายในประเทศ เพื่อสร้างยาและวัคซีนได้ด้วยตัวเราเอง เป็นการพึ่งพาตนเองและเป็นจุดเชื่อมต่อเพื่อร่วมมือกับต่างประเทศได้ด้วย

“เมื่อได้เห็นว่าหน่วยงานของประเทศไทยได้มาตรฐาน จะมีงานวิจัยต่างๆ เข้ามาสร้างเสริมศักยภาพงานวิจัย นี่จึงเป็นเชื่อมต่อที่สำคัญ ซึ่งการที่จุฬาฯ เห็นความสำคัญในจุดนี้และผลักดันอย่างเต็มที่ จึงทำให้มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาวัคซีนเพื่อการพึ่งพาตนเอง และขณะนี้ได้ก้าวมาถึงจุดที่ต่างประเทศยอมรับ เหลือเพียงเติมเต็มศักยภาพอื่นๆ เช่น โรงทดสอบวัคซีนซึ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ที่ลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทในช่วงการระบาดของโควิด-19 จะมีการขยายอย่างมาก เพราะงานด้านสัตว์ทดลองต้องใช้เงินลงทุนสูง และบางอย่างเป็นเรื่องของไก่กับไข่ว่า ด้านหนึ่งคือจะสร้างสถานที่ใหญ่ๆ แต่ไม่มีบุคลากร แต่อีกด้านคือมีการผลิตบุคลากร แต่ไม่มีสถานที่ทำงาน ดังนั้น จึงต้องพัฒนาควบคู่กันไป และศักยภาพใดที่จะเติมเต็มได้ สถาบันฯ จะพยายามนำเสนอให้ได้การสนับสนุนด้านงบประมาณให้ศูนย์ฯ ก้าวไปข้างหน้า สู่เป้าหมายการพัฒนาวัคซีนของประเทศ “

(จากซ้าย) นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ , ศาสตราจารย์ ดร. สุจินดา มาลัยวิจิตรนนท์ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยไพรเมทเเห่งชาติ จุฬาฯ และศาสตราจารย์ ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดี ด้านการวิจัย จุฬา
สถาบันวัคซีนแห่งชาติมีการวางแผนยุทธศาสตร์ในการใช้สัตว์ทดลอง โดยคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นการทดสอบในหนู ส่วนมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นการทดสอบในกระต่าย และจุฬาลงกรมหาวิทยาลัยเป็นการทดสอบในลิง จึงทำให้ประเทศไทยมีการใช้สัตว์ทดลองอย่างครบวงจร เมื่อก่อนไม่ครบแบบนี้ ทำให้ช้า เมื่อนักวิจัยวิจัยวัคซีนออกมาแล้วต้องเข้าคิวรอในต่างประเทศต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งนี้ นอกจากตอบโจทย์เรื่องสถานที่แล้ว เรื่องคนก็สำคัญ เพราะนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และสัตวแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ผลิตขึ้นมาจะมีสถานที่ฝึกทดลองหรือฝึกงาน รวมทั้งเพื่อปฏิบัติงานจริงหลังจากเรียนจบ

นายแพทย์นคร กล่าวเพิ่มเติมถึงความสำคัญของการมีสัตว์ทดลองครบวงจรว่า จะช่วยอุดช่องว่างในอดีตซึ่งมีอุปสรรคเหมือนเป็นคอขวด ปัจจุบันนอกจากจะมีตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ ยังมีการเพาะเลี้ยงขึ้นมาเองตั้งแต่แรกเกิดในห้องแล็ปเพื่อการควบคุม ไม่ใช่นำมาจากธรรมชาติเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ นอกจากนี้ สวทช.และสถาบันฯ มีการดำเนินการในรูปแบบเครือข่ายประสานความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ประเทศอื่นๆ ทำได้ยาก เพราะต้องมีความมุ่งมั่นจริงๆ ซึ่งจุฬาฯ มีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องมาถึง 11 ปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ศูนย์เล็กๆ จนเติบโตมาเป็นศูนย์ฯ ระดับโลก

นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศไทยกำลังมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG Economy เพื่อยกระดับประเทศไทยจากการเป็นประเทศที่มีระดับรายได้ปานกลาง ไปเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่งในส่วน Bio economy (เศรษฐกิจชีวภาพ) หากประเทศไทยสามารถพัฒนายาและวัคซีนได้เอง จะช่วยเปลี่ยนแปลงการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจของไทย ไปเป็นผู้ผลิตแทนที่จะเป็นผู้ซื้อมาตลอด ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพสัตว์ทดลองจึงเป็นส่วนสำคัญ เพราะแม้ว่าจะมีนักวิจัยเก่งๆ แต่ไม่มีสถานที่ที่ดีหรือระบบที่ดีรองรับก็จะพัฒนายาก เมื่อวันนี้มีระบบรองรับมีการสร้างบุคลากรทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย สัตวแพทย์ เภสัชกร ที่จะเข้ามาเติมการพัฒนายาและวัคซีนมากขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาสถานที่สอดคล้องกัน เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด

นายแพทย์นคร ทิ้งท้ายถึงความพร้อมของประเทศไทยในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ว่า ต้องยอมรับว่าถ้าไม่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 อาจจะทำให้ประเทศไทยไม่มีความพร้อมขนาดนี้ ดังนั้นโควิด-19 จึงเป็นตัวเร่งให้เกิดการเพิ่มศักยภาพด้านนี้ของประเทศไทย ให้มาอยู่ในจุดที่หากมีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นก็มั่นใจได้ว่าจะรับมือได้ไม่ช้ากว่าประเทศอื่น เนื่องจากรัฐบาลหันมาให้ความสำคัญอย่างมากในการลงทุนด้านนี้ ช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีงบฯ เพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาวัคซีน รวมกว่า 7 พันล้านบาท จากเดิมงบฯ สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาที่ผ่านสถาบันฯ มีอยู่น้อยมาก ต่ำกว่า 20 ล้านบาท แต่เมื่อช่วงโควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมีการลงทุนอย่างมาก สำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนามี 3 หน่วยงาน คือคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กับบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ และองค์การเภสัชกรรม ซึ่งปัจจุบันกำลังทดสอบในมนุษย์ คาดว่าองค์การเภสัชกรรมจะได้ผลวิจัยประมาณกลางปี 2566 ส่วนจุฬาฯ จะได้ผลวิจัยปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า หากสามารถใช้ในมนุษย์ได้จะมีการผลิตต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น