เปิดมิติใหม่การให้คำปรึกษาผู้ประสบปัญหาโรคซึมเศร้าโดยกรมสุขภาพจิต กับ DMIND นวัตกรรม AI จากแพทย์และวิศวฯ จุฬาฯ คัดกรองผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า ในแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม แม่นยำ เข้าถึงง่าย ใช้สะดวก ช่วยลดภาระแพทย์และนักจิตวิทยาในการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโรคซึมเศร้าจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายในระดับที่น่ากังวล โดยในปี 2564 มีคนไทยอย่างน้อย 1.5 ล้านคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โดยเฉลี่ยผู้ป่วยจำนวน 100 คน เข้าถึงการรักษาเพียง 28 คนเท่านั้นและมีสถิติผู้พยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ 6 คนต่อชั่วโมง ทั้งนี้ ผู้ที่ป่วยโรคซึมเศร้ามีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า และ 70% ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร คาดการณ์กันว่าในอีก 18 ปีข้างหน้าจะส่งผลกระทบกลายเป็นภาระการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคนี้อันดับ 1 ของทั่วโลก
ด้วยสถิติและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้จิตแพทย์ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ด่านหน้าอย่าง รศ.พญ.โสฬพัทธ์ เหมรัญช์โรจน์ จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยากที่จะพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวให้บรรเทาเบาบางลง
“ได้มีโอกาสคุยกับรุ่นน้องที่เป็นจิตแพทย์ด้วยกันและทำงานอยู่ในกรมสุขภาพจิต พบว่าเจอปัญหาคล้ายๆ กัน คือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าเราจะเพิ่มกำลังในการผลิตจิตแพทย์เพียงใดก็ไม่เพียงพอ จะเห็นได้ตามข่าวทางสื่อต่างๆ ว่ามีดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมากที่ประสบกับภาวะซึมเศร้า แต่จริงๆ ยังมีคนที่เราไม่รู้จักอีกเยอะที่ป่วยเป็นซึมเศร้าและตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง ซึ่งเป็นปัญหาที่จิตแพทย์รู้สึกกังวล และพยายามหาทางรับมือกับปัญหานี้” รศ.พญ.โสฬพัทธ์ กล่าว
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รักษาได้ แต่การจะให้โอกาสกับผู้ป่วยทุกคนที่ต้องการเข้าถึงการรักษาได้อย่างไร นั่นคือโจทย์สำคัญที่สุด
“ตามรูปการณ์ในปัจจุบัน การที่โรงพยาบาลจะขยาย OPD หรือแผนกเพื่อรองรับผู้ป่วยก็ไม่สามารถดำเนินการได้ทัน การเพิ่มสถานพยาบาลยังไงก็ไม่มีทางเพียงพอ ในบางจังหวัดมีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการวันละ 200 – 300 คน มันเป็นไปไม่ได้เลย แล้วคนที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือไม่กล้ามาโรงพยาบาลก็มีอีกจำนวนมาก ประกอบกับที่กรมสุขภาพจิตเองก็มีสายด่วนสุขภาพจิต ให้บริการในการพูดคุยให้คำปรึกษา โดยมีนักจิตวิทยาช่วยประเมินว่าสายที่โทรเข้ามามีอาการของโรคซึมเศร้ามากแค่ไหน เราได้พูดคุยกับกรมสุขภาพจิตแล้วพบว่ามีคนที่ต้องรอสายต่อวันเป็นพันๆ คน แต่มีคนที่รับสายโทรศัพท์ต่อวันไม่เพียงพอ ทำให้ยังมีคนที่เข้าไม่ถึงบริการอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจมีคนที่สุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายแล้วไม่สามารถเข้าถึงบริการ เราจะได้รู้ได้อย่างไรว่าสายไหนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด จะมีเทคโนโลยีอะไรที่สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้บ้าง” รศ.พญ.โสฬพัทธ์ ตั้งคำถาม
ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์ รศ.พญ.โสฬพัทธ์ทราบดีว่าคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะแสดงลักษณะอาการของโรคออกมาผ่านทั้งน้ำเสียง คำพูด และการแสดงออกทางสีหน้า หากมีเครื่องมือที่สามารถนำมาวิเคราะห์ตรงนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย นั่นคือที่มาของการพัฒนา นวัตกรรมที่เกิดจากความร่วมมือของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และบริษัท Agnos Health ซึ่ง D ย่อมาจาก Depression หรือโรคซึมเศร้านั่นเอง
DMIND เป็นเครื่องมือที่นำมาช่วยจิตแพทย์ โดยไม่ได้มาทำหน้าที่แทนจิตแพทย์ แต่นำมาช่วยคัดกรองว่าใครคือเคสเร่งด่วนที่ต้องช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คนที่มีอาการโรคซึมเศร้าเบาหน่อยค่อยมีการช่วยเหลือในลำดับต่อๆ ไป
รศ.พญ.โสฬพัทธ์ เผยว่า “ในจุฬาฯ ได้มีการพูดคุยและร่วมกันพัฒนาเครื่องมือนี้เป็นการภายในอยู่แล้ว ซึ่งเป็นงานที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้พูดคุยกับกรมสุขภาพจิต จึงเป็นเวลาที่สมควรที่จะได้ทดลองนำเอางานที่ทำกันในห้องปฏิบัติการมาทดลองจริงๆ กับเทปเสียงที่บันทึกเอาไว้ของกรมสุขภาพจิต แล้วนำมาลองวิเคราะห์ดู ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ง่ายอย่างที่เราเคยคิดเอาไว้ เพราะเห็นว่ามีการทำกันเยอะในต่างประเทศ ปรากฏว่าเทคนิคที่ต่างประเทศใช้หรือมีการตีพิมพ์ นำกลับมาใช้กับคนไทยไม่ได้ ต้องเริ่มกันใหม่หมด เราทำงานกันหนักมาก มีการเก็บตัวอย่างหลายหมื่นตัวอย่างมาวิเคราะห์ จนเกิดเป็น AI ที่เป็น Machine Learning ที่เป็น Template ที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง โดยนำมาทดสอบกับคนไข้ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จนเรามั่นใจในตัวเลขของข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์มีความแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ และจะแม่นยำขึ้นได้อีกด้วยเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์”
ทางแอปพลิเคชั่นหมอพร้อมก็มีจำนวนผู้ใช้งานที่มีความเครียดเพิ่มขึ้นสูงมาก เดิมทีในหมอพร้อมจะใช้วิธีกรองผู้ป่วยโรคซึมเศร้าโดยการให้ทำแบบสอบถาม แต่พอมาใช้เป็น AI วิเคราะห์ก็จะเพิ่มความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในระดับ Direct Bio Tracker ที่สามารถวิเคราะห์การแสดงอารมณ์ของผู้ป่วยผ่านสีหน้าท่าทางที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกาย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับชีวภาพของร่างกายจริงๆ ไม่ใช่เป็นแค่ความคิดเห็น เป็นสิ่งที่บางทีคนไข้ยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองแสดงออกมา
ทั้งนี้ AI จะประเมินลักษณะภาวะซึมเศร้าออกมาเป็นคะแนน หากคะแนนอยู่ในเกณฑ์สีเขียว คือยังอยู่ในภาวะปกติ สีเหลืองมีภาวะซึมเศร้า นักจิตวิทยาจะติดต่อกลับเพื่อให้คำปรึกษาภายใน 7 วัน และสีแดง หมายถึงภาวะซึมเศร้ารุนแรง นักจิตวิทยาจะติดต่อกลับภายใน 1-24 ชั่วโมง เกณฑ์เหล่านี้เป็นการจัดแบ่งตามการดูแลที่มีอยู่แล้วของกรมสุขภาพจิต โดย รศ.พญ.โสฬพัทธ์ ให้เหตุผลว่า หลักการทำงานร่วมกันจะต้องเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ต้องสร้างอะไรขึ้นมาใหม่มากนัก แต่นำสิ่งที่แต่ละฝ่ายมีมาทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างสูงสุด
“สิ่งที่สำคัญที่สุดข้อแรกคือประชาชนต้องเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ คนที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้งานแอปพลิเคชั่น สองก็คือต้องให้ความรู้สึกสบายใจกับผู้ใช้งาน มีอิสระที่จะพูด จากที่เคยทดลองนำไปใช้ บางครั้งคนไข้ที่ดูเหมือนจะปกติแล้วหรือมีอาการซึมเศร้าเล็กน้อยเมื่อมาพบแพทย์ พอให้มานั่งคุยกับแอปพลิเคชั่น DMIND ซึ่งเป็นลักษณะอวตาร์ (คุณหมอพอดี) คนไข้จะมีอาการพรั่งพรู และเผยความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัวและไม่มีกำแพง จนทำให้เราได้ข้อมูลที่มันลึกจริงๆ มาเพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ในการรักษา ซึ่งตอนแรกเราก็กลัวว่าคนไข้จะยอมเปิดใจกับเทคโนโลยีหรือเปล่า แต่พอมาลองใช้จริงแล้ว ผลลัพธ์ออกมาดีมากๆ”
รศ.พญ.โสฬพัทธ์เผยถึงข้อดีของแอปพลิเคชั่นนี้
“สิ่งที่มีความสุขมากในวันนี้คือ โดยส่วนตัวหมอก็รู้แค่ในส่วนของตัวเอง นั่นคือศาสตร์ทางด้านจิตเวช แต่นาทีนี้ที่สำเร็จได้ด้วยความร่วมมือกับอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สิ่งที่เราอยากได้และต่างประเทศทำได้ เราก็ร่วมกันฝ่าฟันจนสำเร็จออกมา ทำให้เห็น ว่าในจุฬาฯ เรานั้นมีคนเก่งอยู่มากมาย หากว่าเราคุยกันมากขึ้น ทำงานร่วมกันมากขึ้น เราจะสามารถทำในสิ่งที่เป็นนวัตกรรมระดับโลกได้” รศ.พญ.โสฬพัทธ์ กล่าว
ด้าน รศ.ดร.พีรพล เวทีกูล ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกนำมาใช้งานในแอปพลิเคชั่นดังกล่าว เปิดเผยว่า DMIND เป็นปัญญาประดิษฐ์เพื่อประเมินภาวะซึมเศร้าโดยตรง เริ่มต้นจากทางภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โดย รศ.พญ.โสฬพัทธ์ ได้มาชวนให้ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์เข้ามาช่วยกันพัฒนาแอปพลิเคชั่นนี้ โครงการนี้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2563 โดยเมื่อปีที่แล้ว เรามีการร่วมมือกับกรมสุขภาพจิต และมาในปีนี้ เราได้ขยายขอบเขตไปใช้งานในแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม
รศ.ดร.พีรพล เผยถึงการทำงานของระบบ DMIND ว่าประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนแรกคือตัวแอปพลิเคชั่นในหมอพร้อม หรือ Automate Avatar ที่เป็น Mobile Application ที่คนไข้เข้ามาใช้งาน เมื่อมีการพูดคุยกับคนไข้ผ่านแอปก็จะได้ข้อมูลออกมาเป็นไฟล์วิดิโอ ซึ่งจะถูกส่งต่อไปให้ AI วิเคราะห์ในส่วนที่สอง และส่วนสุดท้ายคือ Web Base ที่แพทย์สามารถเข้ามาตรวจสอบย้อนหลังได้ หากมีผู้ใช้งานคนไหนที่ ดูแล้วมีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงก็จะมีแพทย์หรือนักจิตวิทยาจากสายด่วนกรมสุขภาพจิตเข้าไปติดตามให้การดูแล
ประชาชนทั่วไปสามารถใช้งานได้ง่ายๆ เพียงใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตเข้าไปในแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม เลือกส่วนใช้งาน “คุยกับหมอพร้อม (Chatbot)” เลือก “ตรวจสุขภาพใจ” เลือก “ตรวจสุขภาพใจกับคุณหมอพอดี” จากนั้นก็จะเป็นส่วนของการตอบแบบสอบถาม ซึ่งจะเป็นส่วนที่ช่วยคัดกรองและประเมินตัวเอง (ในกรณีที่ผู้ใช้งานไม่สะดวกใจที่จะใช้งานแบบต้องอัดเสียง เปิดกล้อง หรืออัดวิดีโอ) หากต้องการการประเมินเชิงลึก ผู้ใช้งานก็จะต้องอนุญาตให้มีการเปิดกล้องบันทึกเสียงและภาพเพื่อการประเมินและพูดคุยกับหมอพอดี (อวตาร์) โดยข้อมูลภาพและเสียงจะถูกเก็บเป็นความลับ อาจารย์พีรพลให้เหตุผลว่าที่ยังต้องมีการคัดกรองโดยการตอบแบบสอบถาม เนื่องจากผู้ป่วยเป็นซึมเศร้าหลายราย อาจจะยังไม่พร้อมที่จะไปพบแพทย์หรือเปิดเผยว่าตัวเองป่วย อาจจะต้องการประเมินด้วยตัวเองผ่านการตอบแบบสอบถามก่อน
“ต้องยอมรับว่าปัจจุบันสายด่วนกรมสุขภาพจิต1213 มีปริมาณคนที่โทรเข้าไปขอความ ช่วยเหลือล้นมากกว่าจำนวนคู่สายที่รองรับได้อยู่แล้ว การเข้ามาร่วมมือกันพัฒนา DMIND เพราะเล็งเห็นปัญหา และต้องการจะแก้ปัญหาตรงนี้ จากเดิมที่ต้องรับทุกสายไม่ว่าจะมีภาวะซึมเศร้ามากหรือน้อย เมื่อโทรเข้ามาแล้วก็ต้องประเมินอาการเป็นรายๆ ไป อาจทำให้คนที่ต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วนเข้าไม่ถึงเจ้าหน้าที่อย่างทันท่วงที เรื่องของการจัดลำดับความเร่งด่วนหรือ Priority จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก จากสถิติที่ผ่านมาที่เรานำ DMIND เข้าไปช่วยคัดกรองเบื้องต้น ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทำให้สายด่วนกรมสุขภาพจิตสามารถดูแลผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนได้ทันท่วงทีเป็นร้อยๆ เคส หากเป็นกรณีเคสเร่งด่วน กรมสุขภาพจิตถือเป็นหน้าที่หลักที่จะต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว เมื่อมีการคัดกรองจากระบบของ DMIND ก็จะช่วยให้เจ้าหน้าที่เน้นกับเคสที่เร่งด่วนอย่างแท้จริง และดูแลได้อย่างทั่วถึงแน่นอน” รศ.ดร.พีรพล กล่าวเพิ่มเติม
ด้านความแม่นยำในการตรวจจับ (Accuracy) การวิเคราะห์สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และเนื้อหา ของ DMIND รศ.ดร.พีรพล กล่าวว่า จากที่ได้ทดลองนำไปใช้ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75% ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปริมาณคนไข้นับหมื่นรายที่ได้รับการคัดกรองโดย DMIND ช่วยลดภาระงานของแพทย์ไปได้ค่อนข้างมาก
“ในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล เราก็มีคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน ของจุฬาฯ ที่คอยตรวจสอบตรงนี้อยู่ ดังนั้น ข้อแรกเราไม่มีการเก็บข้อมูลที่ระบุไปถึงตัวตนของผู้ใช้งานได้ ข้อสองข้อมูลที่ได้เมื่อผ่านระยะเวลาไปช่วงหนึ่งจะถูกทำลายทิ้ง จึงไม่มีทางที่จะติดตามกลับไปถึงตัวคนได้ว่าเป็นใคร ไม่มีการเก็บข้อมูลดิบเอาไว้”
รศ.ดร.พีรพล กล่าวย้ำว่า ในอนาคต ตนอยากให้แอปพลิคชั่นนี้สามารถเข้าถึงคนทุกคนได้จริงๆ ทั้งนี้โครงการก็ยังมองหาหน่วยงาน โรงพยาบาล บริษัททางด้านเทคโนโลยีที่จะเข้ามาร่วมพัฒนา หรือหากแพลตฟอร์มที่อยากจะนำ AI ตัวนี้ไปต่อยอดใช้งานต่อก็ยินดีเปิดรับ เพราะปัญหาโรคซึมเศร้าถือเป็นปัญหาที่ใหญ่ระดับชาติ หากสามารถนำเอานวัตกรรมนี้ไปสู่โรงพยาบาลต่างๆ หรือเข้าถึงคนได้มากขึ้น ตนเชื่อว่า ก็จะยิ่งเกิด impact มากขึ้น และลดอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายได้
“การสอน AI ก็เหมือนกับการสอนเด็กหรือคนๆ หนึ่งขึ้นมา ดังนั้นมันยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงพัฒนาได้อีก เราก็คาดหวังว่าจะมีคนใช้มากขึ้น เพื่อให้ AI มีข้อมูลมากขึ้นเพื่อให้เกิดความแม่นยำยิ่งๆ ขึ้นไป” รศ.ดร.พีรพล กล่าวทิ้งท้าย
๐ จุดเด่นของแอปพลิเคชั่น DMIND
1.ใช้เทคโนโลยี AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูล สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และอารมณ์ ได้อย่างแม่นยำในระดับ Direct Bio Tracker และมีการวิเคราะห์ด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล จึงมีความแม่นยำสูง
2.เป็นแอปพลิเคชั่นหนึ่งเดียวของไทย ที่พัฒนามาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ ใช้ข้อมูลที่เก็บและทำวิจัยจากเคสของคนไทยโดยตรง
3.ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ทั้งเรื่องของการดูแลคนไข้ การติดตามการรักษา การเปลี่ยนยา ใช้ร่วมกับการรักษาโดยวิธีการจิตบำบัด และสามารถนำข้อมูลไปต่อยอดงานวิจัยเพื่อป้องกันและรักษาโรคซึมเศร้าในอนาคต
4.เข้าถึงง่ายผ่านแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม ใช้งานง่ายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ ทำให้ผู้ทีมีความเสี่ยงหรือมีปัญหาซึมเศร้าทุกคนสามารถขอรับความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึง DMIND Application ได้ทาง https://bit.ly/DMIND_3 นอกจากนี้ DMIND Application ยังเชื่อมต่อกับช่องทางการสื่อสารของหมอพร้อม ได้แก่ LINE Official Account และ Facebook ซึ่งสามารถเข้าใช้บริการได้ผ่านขั้นตอนดังนี้
1. เข้าแอปพลิเคชัน Line หมอพร้อม กดลิงก์เพื่อเพิ่มเพื่อนhttps://bit.ly/2Pl42qo
2. เลือกเมนู “คุยกับหมอพร้อม (Chatbot)”
3. เลือกเมนู “ตรวจสุขภาพใจ”
4. เริ่มทำแบบทดสอบ