ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีเพียง 3 อำเภอก็จริง แต่ด้วยความเป็นเกาะทั้งจังหวัด ผู้คนจึงนึกว่ามาเที่ยวภูเก็ต ยังไงๆ ก็ต้องผูกพันกับทะเล
ถ้าตรงไหนไม่ได้เห็นทะเล คงไม่มีอะไรให้เที่ยว และเมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ชีวิตในภูเก็ตก็คงเหลือแค่การเที่ยวปาร์ตี้ แสงสีดื่มกินดิ้นโยกตามสถานบันเทิง
ไม่จริงครับ!
ผมเพิ่งกลับจากการร่วมเดินทางไปในพิธีส่งมอบชุดงานวิจัยเรื่อง
‘’การเพิ่มคุณค่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนย่านเมืองเก่าภูเก็ต’’ ที่จัดขึ้นโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ(บพข.) และสำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม(สกสว.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำคณะมาโดย ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ประธานคณะอนุกรรมการกลุ่มแผนงานท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รศ.ดร.ธงชัย สุวรรณสิชนณ์ รองผู้อำนวยการ บพข. และคุณสุเทพ เกื้อสังข์ ที่ปรึกษาองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)
สาระงานวิจัยชุดนี้ดำเนินการโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ซึ่งมีรศ.ดร.ทัศนา ศิริโชติ อธิการบดีนำทีมเดินทางมา ซึ่งมี ดร.นราวดี บัวขวัญ รองอธิการบดีทำหน้าที่ในฐานะหัวหน้าคณะนักวิจัยที่ทำงานร่วมกับ ‘’โกดอน’’ คือคุณดอน ลิ้มนันทพิสิฐ ประธานชุมชนย่านเมืองเก่าภูเก็ต คุณสมยศ ปาทาน ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าภูเก็ต ซึ่งก็มาในฐานะนักวิจัยด้วย
ฝ่ายชุมชนจึงไม่ได้เป็นเพียงผู้ถูกวิเคราะห์วิจัยในคราวนี้ แต่เป็นผู้ร่วมวิจัย นับเป็นมิติใหม่ในการทำงานวิชาการที่ยกระดับเพื่อการทำให้งานวิจัยไม่ต้องกลายเป็นเอกสารขึ้นหิ้ง แต่เป็นความรู้ที่ถูกใช้กันได้จริงๆในชีวิตของผู้เกี่ยวข้อง
ก่อนถึงเวลาพิธีส่งมอบผลงานชุดวิจัยและข้อเสนอแนะให้คุณณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตและท่านนายกเทศมนตรีนครภูเก็ต คุณสาโรจน์ อังคณาพิลาส พวกเราในคณะเดินทางจึงสามารถมีเวลาได้ไปลองสัมผัสเส้นทางท่องเที่ยวและกิจกรรมแนะนำที่คณะวิจัยศึกษาบันทึกไว้ และบางอย่างก็รังสรรค์ขึ้นมาใหม่จากข้อเสนอของนักวิจัยที่เข้าไปสำรวจพัฒนาขึ้นร่วมกับชาวชุมชนเมืองเก่าภูเก็ต
ผมพบว่า ย่านเมืองเก่าภูเก็ตนั้น มีเสน่ห์หลายประการที่ผมสามารถจดจำมาเล่าสู่กันฟัง
เมืองเก่าตามย่านต่างๆทั่วไทยนั้นมีครับ แต่ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นการทาสี และซ่อมแซมส่วนหน้าอาคารและซ่อมแซมภายในอาคารกันอย่างต่อเนื่องจนทำให้เมืองเก่าดูไม่แก่
แต่กลับมีชีวิตชีวาได้ทั้งกลางวัน และยามค่ำคืนอย่างที่นี่
ที่ย่านเมืองเก่าภูเก็ต ตามตรอกซอยจะสัมผัสได้ถึงความสะอาดสะอ้าน ผิวทางเท้าได้รับการดูแล พยายามทำให้มีความเรียบ ไม่ได้ใช้แผ่นซีเมนต์บล้อกหรืออิฐตัวหนอนมาวางเรียงอย่างทางเท้าในที่อื่น เพราะแผ่นซีเมนต์บล้อคและอิฐตัวหนอนนั้นจะทรุดเอียงไม่เท่ากัน ผิวทางเดินจึงมักจะกระเดิดไปมา ไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ทางเท้า ฝนตกจะเกิดน้ำขังเป็นหย่อมๆ ผู้ใช้ทางเท้าต้องเล่นเกมเสี่ยงทายว่าจะเหยียบแผ่นซีเมนต์ชิ้นไหนจึงจะไม่กระดกแล้วพ่นน้ำปรี้ดไปเลอะคนร่วมทาง!!
ที่นี่มีการติดตั้งเสาไฟส่องสว่างที่ออกแบบให้เป็นคล้ายกรงนกสไตล์จีนฮกเกี้ยน มองแล้วไม่ขัดกับสถาปัตยกรรมอาคารที่ออกแนวซิโนยูโรเปียน เพราะเมืองเก่าภูเก็ตมีทั้งชาวจีนและชาวตะวันตกมาตั้งถิ่นฐาน สร้างร้านรวงในยุคเก่ามาตั้งแต่รุ่นเปิดทำมาค้าขายทางทะเล แล้ว ต่อมาถึงยุคทำเหมืองดีบุกอย่างแพร่หลาย รูปทรงอาคารจึงมีเอกลักษณ์สะดุดตา
เจ้าของเรือนแถวสร้างจากปูนโบราณแถบเมืองเก่าภูเก็ตเป็นผู้มีฐานะพอประมาณ สอบถามแล้วมักเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนรุ่นที่สี่หรือห้าแล้ว ส่วนมากมีที่ดินอยู่นอกตัวเมืองอีกที ประกอบอาชีพทั้งด้านค้าขายและมีสวนยางเก่าซึ่งหลายแห่งได้กลายเป็นที่ดินติดรีสอร์ตติดทะเลไปแล้วด้วยซ้ำ
แม้พื้นฟุตบาททางเดินจะเบี่ยงไปมาบ้างตามทรงของเมืองเก่า ซอยอาจจะแคบ แต่เมื่อทาสีให้ดูสะอาดตา วาดสตรีทอารท์ทับผิวอาคารที่ชำรุด และรักษาไม่ให้มีทัศนอุจาดประเภทป้ายโฆษณาล้นมากไป บวกกับที่ร้านรวงพยายามตกแต่งหน้าบ้านให้ดูดีน่าเข้าน่ามอง
การเดินชม ‘’อาคาร’’ย่านเมืองเก่าจึงให้ความเพลิดเพลินและรู้สึกได้ถึงไมตรีที่สถาปนิกแต่ละรุ่นผู้ออกแบบชุดตึกแถวและคิดผังเมืองได้ทิ้งเอาไว้ให้
ทางเดินหน้าห้องแถวมีกันสาดปูนยื่นมาพร้อมซุ้มปูนโค้งช่วยบังแดดบังฝนให้คนเดินผ่านหน้าร้านอย่างมีสไตล์
หลายร้านหลายบ้าน แม้ไม่ได้วางของค้าขายแล้ว แต่ก็ร่วมมือเอื้อเฟื้อความเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วยการช่วยเปิดบ้าน ให้นักท่องเที่ยวเเวะเข้าไปเยี่ยมเยือนเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ชุมชนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างภูมิใจ
โครงสร้างเรือนแถวที่นี่ลึกยาวและจะมีช่องเปิดเห็นท้องฟ้าในตรงกลางบ้าน
บริเวณนี้จะมีบ่อน้ำ บางบ้านประดับบ่อน้ำด้วยสวนหย่อม เป็นที่ตั้งเตาของครัวเปิด หรือมีชุดม้าหินเป็นฮกเกี้ยนสไตล์ ดูเป็นมิตร ชวนให้มอง แถมเมื่อช่องเปิดนี้ช่วยให้ “อากาศ’’ไหลเวียนสะดวก ผมเห็นผู้เฒ่าผู้แก่นั่งเล่นรับลมอยู่คนเดียวในบริเวณกลางบ้านสบายๆ แม้จะนั่งลึกเข้าไปจากหน้าถนนตั้งไกล แต่เพราะมีทั้งแสงธรรมชาติและอากาศไหลเวียนได้สะดวก ดูท่านจะนั่งจิบน้ำชาสบาย’’อารมณ์’’กันดี
ดังนั้น นอกจากผมจะได้เพลินกับการดูสิ่งประดับ’’อาคาร’’ด้วยลวดลาย ปูนปั้น ลายเส้นวาดสตรีทอารท์ ทรวดทรงสถาปัตยกรรม และสิ่งของตั้งวางที่อวดความมีวัฒนธรรมสืบทอดของเจ้าของย่าน เจ้าของบ้านแล้ว
ยังสามารถสัมผัสกับ การออกแบบที่สร้างสรรค์ให้ ‘’อากาศ’’ ไหลเวียน ทำให้การใช้อาคารไม่ต้องพึ่งพาแต่เครื่องปรับอากาศอย่างเลือกไม่ได้อย่างในกรุงเทพ
เมื่ออากาศไหลเวียนสะดวก แค่ปิดงับประตูเหล็กยืดโปร่งหน้าบ้าน หรือบางบ้านฉาบปูนทำประตูวงกบไม้มีลายฉลุปิดไว้ แต่เปิดช่องหน้าต่างไม้แบบซุ้มโบราณสวยๆไว้ที่ผนัง เท่านี้ก็ได้ เสน่ห์ให้หน้าบ้านแถว มีช่องลม และได้ความเป็นส่วนตัวในบ้าน กันผู้ไม่ได้รับเชิญเดินบุกเข้าไปได้แล้ว
ห้องแถวที่นี่จึงมีอะไรให้น่าค้นหา เพราะมีเกร็ดเล็กๆ หรือความจงใจของสถาปนิกรุ่นเดิมที่เอาใจใส่ในเรื่องต่างๆไว้
บางบ้านมีบันไดขึ้นลงหลายชุด มีบันไดหลักบันไดรอง โดยบันไดรองอาจมีไว้ให้บ่าวไพร่ใช้ ซึ่งก็เป็นบันไดหนีไฟไปได้ด้วย โดยขั้นมักจะแคบและชันกว่าบันไดหลัก
ย่านเก่าจึงเป็นหมู่อาคาร ที่ทำให้เหมือนพิพิธภัณฑ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ สามารถเดินถ่ายรูปกันได้เพลินทั้งวัน
ครั้นพอตกกลางคืน ไฟถนนสว่าง ร้านรวงที่แม้ปิดหน้าร้านไปแล้วหลายแห่งก็ช่วยกันเปิดไฟส่องอาคารที่มีบัวปูนปั้นของตัวเอง ช่วยขับสีสรรความมีชีวิตชีวาให้เมืองเก่าน่าเดิน รับลมเย็นเบาๆหลังมื้อค่ำ
อีกเกร็ดที่นักวิจัยได้รับทราบร่วมกับโกดอน บอกเล่าให้ผมฟังก็คือ คนจำนวนมากเรียกแบบสถาปัตยกรรมของอาคารในเมืองเก่าภูเก็ตว่าเป็นแบบ ‘’ชิโนโปรตุเกส’’
https://en.wikipedia.org/wiki/Sino-Portuguese_architecture
แล้วคนก็เรียกตามๆกันมาเรื่อย
นักวิจัยและโกดอนสงสัย เลยได้โอกาสถามผู้แทนสถานทูตโปรตุเกสที่มาเยือนเมืองเก่าภูเก็ตว่า ตรงไหนของสถาปัตยกรรมที่บ่งชี้ว่ามีอิทธิพลของโปรตุเกสบ้าง
ปรากฏว่า ผู้แทนสถานทูตเดินสำรวจกับผู้แทนชุมชนแล้วบอกว่า ‘’ยังไม่เห็นส่วนไหนที่มองแล้วจะยืนยันได้ว่าเป็นอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมโปรตุเกส’’!!
แต่เห็นร่วมกันว่านี่เป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบ’’ชิโนยูโรเปียน’’ต่างหาก เพราะรูปทรงอาคารแบบที่เมืองเก่าภูเก็ตนี้มีให้เห็นได้ในเมืองท่าที่ชาวจีนและชาวยุโรปตั้งถิ่นฐานในบริเวณเดียวกัน เช่นที่ปีนัง หรือที่สิงคโปร์
ลักษณะเด่นคือกระเบื้องและหลังคามักเป็นทรงจีน แต่โครงสร้างและลายบัวปูนมีความเป็นแบบยุโรป
ทีนี้ ก็ขอย้ายมาเล่าอีกเสน่ห์ของเมืองเก่าภูเก็ตที่นักวิจัยแยกแยะไว้ คือเรื่อง ‘’อาภรณ์’’
ชุดแต่งกายของคนดั้งเดิมในย่านเมืองเก่าภูเก็ตนั้น มีลักษณะที่ได้มาจากความเป็นคหบดีโบราณ พอถึงวันมีงานมีการของชุมชน ชายหญิงจะแต่งเสื้อเป็นชุดบาบ๋า แบบที่นายหัวภูเก็ตจีนฮกเกี้ยนสวม คือเป็นเสื้อผ้าคอจีน กระดุมผ้ามัดแทนเม็ดกระดุม 5จุด ผ้าพื้นเป็นสีเรียบขรึม มีชายแขนเสื้อเป็นผ้ายาวอีกชิ้นที่เลยออกมาแล้วพับม้วนกลับ แบบแขนเสื้อจีน ซึ่งทำให้แขนเสื้อตัวในกับตัวนอกดูตัดกัน ที่ชายกระเป๋าบนมักแขวนลัอคเกตมีโซ่เล็กๆหรือไม่ก็แขวนพวงกุญแจตู้เซฟติดโซ่สายเล็กๆห้อยโชว์บนอกเสื้อ
แปลว่าท่านผู้สวมใส่เป็นคนมีทรัพย์ ว่างั้นคงได้
ส่วนสตรีจะใส่เสื้อรัดเอว ทรงจีน แต่มีลวดลายเสื้อเป็นแนวมลายูกุ๊นด้วยผ้าลูกไม้พร้อมกับผ้านุ่งลาย มลายูสีสรรสดใส
ผู้คนที่มาเดินเที่ยวหลายกลุ่มเริ่มสนใจซื้อเสื้อผ้าแบบนี้ใส่เดินถ่ายรูปกัน ทำให้ดูบรรยากาศย้อนยุคดี และคนท้องถิ่นในเมืองเก่าจะยิ้มกึ่งพยักหน้าเบาๆให้อย่างภูมิใจ
นักวิจัยเล่าว่าทุกวันนี้ หลายๆบ้าน คุณป้าคุณน้าคุณยายหลายท่านกระตือรือร้นรื้อเอาชุดบาบ๋าของเดิมของท่านที่เก็บมาตั้งแต่สมัยก่อนออกมาแต่งเดินเหินถือตะกร้าแทนกระเป๋าไปหาสู่กันอย่างภาคภูมิ
เพราะชุมชนเห็นดีเห็นงามที่จะรื้อฟื้นธรรมเนียมเก่าๆออกมาปลุกชีวิตชีวาให้ย่านที่ตัวอาศัย นี่เอง
นักวิจัยที่ทำงานร่วมกับชุมชนจึงออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชนหลายอย่างให้ผู้มาเยือนได้ร่วมทำไปด้วยอุดหนุนไปด้วยได้ เช่นไปทำงานฝีมือ ประดิษฐ์ของที่ระลึกให้ตัวเอง พับกระดาษมงคลออกมาให้เป็นรูปสัตว์มงคลต่างๆ ไปลองทำขนมบาบ๋าแบบต่างๆของภูเก็ต อย่างขนมหน้าแตก ขนมพริก ขนมต่าวซ้อเปี๊ยใส่กล่องใส่ตะกร้าสวยๆหิ้วกลับไปเป็นของฝาก ลองผัดเส้นหมี่ฮกเกี้ยน หรือทำน้ำพริก หรือทำอาหารสูตรภูเก็ตในครัวกลางบ้านที่เปิดให้ทำกิจกรรม หรือจะลองออกแรงโหมไฟในเตาเผาเพื่อตีเหล็กในโรงตีมีดเก่าแก่ของอาแปะที่หาชมได้ยากแล้วในยุคปัจจุบัน
สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้พาให้ทั้งแขกผู้มาเยือน และเจ้าบ้านทุกวัยพากัน ‘’อารมณ์ดี’’
แขกได้ประสบการณ์ที่ไม่เคยทำและสนุก
เจ้าบ้านได้อวดบ้านอวดฝีมือที่สั่งสมมานาน
จากอาคาร อากาศ อาภรณ์ อารมณ์ ทีนี้ก็ อาหารใส่ท้องล่ะ
อ้าว…พื้นที่หมดพอดี งั้นขอเล่าต่อในภาคสองครับ
บทความโดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ประธานอนุกรรมาธิการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
สมาชิกวุฒิสภา
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา