เมื่อวานนี้ (16 เมษายน 2565) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยเรื่อง "สัตว์ป่าของกลาง" กับโอกาสได้กลับคืนสู่ป่าซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และกรณีลูกเสือโคร่งของกลาง “น้องขวัญ” มีโอกาสน้อยมากที่จะส่งกลับคืนสู่ธรรมชาติ
สัตว์ป่าที่ถูกพบจากการจับกุมผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายนั้น การปล่อยคืนสู่ป่าจะต้องพิจารณาจากปัจจัยมากมาย ทั้งสายพันธุ์ อายุและการเลี้ยงดู ยิ่งเป็นสัตว์ที่ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตจากแม่หรือฝูง รวมถึงการล่าและหาอาหาร อย่างเสือโคร่ง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่มนุษย์เราจะสอนได้ นี่เป็นเหตุผลเพียงบางส่วนที่สัตว์ป่าไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตในป่าได้ เพราะขาด "สัญชาตญาณของสัตว์ป่า" ไปแล้วนั่นเอง
กรณีน้องขวัญ ลูกเสือโคร่งของกลาง ที่ได้จากการจับกุมเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา และนำมาดูแลต่อที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวากและศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก จังหวัดสุพรรณบุรี ก็มีคนสงสัยและได้เข้าไปสอบถามบนเพจเฟซบุ๊ค thailand tiger project dnp ว่า กรณี "น้องขวัญ" ถ้าเติบโตขึ้นแล้ว จะสามารถปล่อยเข้าป่าได้หรือไม่ ในเมื่อเค้าไม่มีแม่คอยสอน หรือว่าต้องกลายเป็นเสือเลี้ยงไปแล้ว ได้รับคำตอบว่า “คงต้องเป็นเสือเลี้ยง”
“สุดท้ายการได้เห็นสัตว์ป่าได้ใช้ชีวิตในป่าอย่างมีความสุขท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าใช้ชีวิตในกรงเลี้ยง”
ดังนั้นถ้าทุกคนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องสัตว์ป่าให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่า หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายป่าไม้และสัตว์ป่า แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนพิทักษ์ป่า 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่า จากกรณี “น้องขวัญ” เป็นความผิดตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ร่วมกันครอบครอง และร่วมกันค้าสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตามมาตรา 17 ฐาน “มีสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี” มีอัตราโทษตามมาตรา 92 จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 29 ฐาน “ค้าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” มีอัตราโทษตามมาตรา 89 จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประกอบมาตรา 112 และ มาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สุขภาพของน้องขวัญล่าสุด
นายอนันต์ ศรีผุดผ่องหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวากและศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14-15 เม.ย.ที่ผ่านา สพ.ญ.ณฐนน ปานเพ็ชร นายสัตวแพทย์ประจำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก และศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก รายงานผลการดูแลลูกเสือของกลาง
พบว่ายังมีน้ำมูกเล็กน้อย ไม่มีไข้ บริเวณเหงือก ลิ้น และช่องปาก มีสีชมพูอ่อน กินนมได้ปริมาณ 6-8 ออนซ์ ต่อมื้อ โดยกินนมทุก 2-4 ชั่วโมง/มื้อ นมที่กินจะเป็นนมทดแทนสำหรับลูกแมว ชนิด KMR การขับถ่ายปกติ มีพฤติกรรมที่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ร่าเริง ท้องไม่อืด เริ่มก้าวเดินได้แข็งแรงมากขึ้น ไม่เครียด
โดยในช่วงเช้ามีการปล่อยให้เดินออกกำลังกายและรับวิตามินจากแสงแดดบริเวณหน้าอาคารพยาบาล (ชมคลิป) เจ้าหน้าที่ได้ทำความสะอาดพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนทำการปล่อยออกมาเดินข้างนอก แต่เนื่องจากสภาพอากาศร้อน จึงได้ดูแลลูกเสือในอาคารพยาบาล เพื่อป้องกันสภาวะลมแดดที่อาจเกิดขึ้นได้
ข้อมูลอ้างอิง ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช