สภาองค์กรของผู้บริโภค ขับเคลื่อนเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยด้านการขนส่งและยานพาหนะ พร้อมเสนอภาครัฐที่เกี่ยวข้องปรับระบบการชดเชยเยียวยาให้เหมาะสมและฉับไวยิ่งขึ้น เดินหน้าสร้างความเข้าใจผู้บริโภคถึงสิทธิพึงมีการต้องตกเป็นเหยื่ออุบัติเหตุบนท้องถนน
ดร.สุเมธ องกิตติกุล ประธานคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคได้เร่งเดินหน้าเพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการขนส่งและยานพาหนะอย่างต่อเนื่อง จากการถอดบทเรียนอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่ในแต่ละครั้งพบว่า มีข้อบกพร่องใน 2 ด้านหลัก คือด้านมาตรการการป้องกัน ทั้งยานพาหนะและพนักงานขับรถ ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้ความสำคัญเพิ่มมากยิ่งขึ้นรวมถึงต้องตรวจสอบและสร้างความตระหนักรู้ให้แก่พนักงานขับรถเพื่อส่งมอบความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้โดยสาร ส่วนข้อบกพร่องอีกด้านหนึ่งคือ กระบวนการด้านการชดเชยเยียวยาที่ค่อนข้างล่าช้าและยังไม่เหมาะสมต่อการสูญเสียของผู้ประสบเหตแต่ละราย ซึ่งทางคณะอนุกรรมการฯ อยู่ระหว่างสรุปเนื้อหาและแนวทางเพื่อนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพื่อกำหนดมาตรการในการปรับปรุงต่อไป
หากพิจารณาถึงกลไกในการดำเนินการเพื่อการป้องกัน พนักงานขับรถเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องได้รับการควบคุมอย่างจริงจัง ซึ่งส่วนหนึ่งต้องเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการ โดยปัจจุบันกรมขนส่งทางบกได้มีการกำหนดนโยบายและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแต่ละรายจัดเตรียมบุคลากรที่ดูแลเรื่องการจัดการความปลอดภัยด้านการขนส่ง เพื่อจัดทำแผนการบำรุงรักษารถและระบบความปลอดภัย มีการตรวจสอบการเดินทางทุกเที่ยวตามกำหนดเวลา ยืนยันการตรวจสอบอุปกรณ์ความปลอดภัย มีการกำหนดหน้าที่ของพนักงานขับรถ จัดแผนการทำงาน การฝึกอบรมและการตรวจสุขภาพความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจให้แก่พนักงานในองค์กร รวมถึงตรวจสอบการใช้สารเสพติด ความชำนาญเส้นทาง ตลอดจนจุดพักรถระหว่างทาง การยืนยันการตรวจสอบข้อมูลความเร็วรถด้วยระบบจีพีเอส การจัดทำแผนอุบัติเหตุ การประสานงานกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ทั้งยังมีการจัดทำรายงานอุบัติเหตุพร้อมวิเคราะห์หาสาเหตุการเกิดเพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยทางด้านการขนส่งในปัจจุบัน จึงอยากฝากให้กรมการขนส่งทางบกช่วยติดตามกำกับผู้ประกอบการอย่างเข้มงวด และให้ผู้ประกอบการกำกับพนักงานขับรถอย่างจริงจัง เพราะอุบัติเหตุในหลายครั้งที่ผ่านมาเกิดจากผู้ขับรถที่อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมควบคุมรถ จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินอย่างมาก หากผู้ประกอบการรายใดที่ไม่ให้ความร่วมมือก็อยากให้พิจารณาเรื่องการขอต่อใบอนุญาตเพื่อเห็นประโยชน์ของผู้โดยสารเป็นสำคัญ ปัจจุบันผู้ประกอบการด้านการขนส่งผู้โดยสารทางบกในไทยมีทั้งที่ดำเนินการโดยภาครัฐภายใต้ความรับผิดชอบของ บริษัทขนส่ง จำกัด (บขส.) และผู้ประกอบการเอกชนทั้งรายใหญ่และรายย่อยที่มีโครงสร้างการดำเนินงานที่ซับซ้อนยากต่อการเข้าตรวจสอบ ซึ่งอยากให้กรมการขนส่งทางบกเข้ากำกับดูแลให้ทั่วถึงอย่างเท่าทัน
“ที่ผ่านมาภายหลังจากเกิดเหตุ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการ 3 ประการหลักๆ คือ การลงพื้นที่สืบสวนอุบัติเหตุเพื่อดูสาเหตุหลัก กำหนดมาตรการป้องกันโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ และกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ประกอบการที่กระทำผิดซ้ำซาก ทั้งนี้ มองว่าไทย เมื่อเกิดเหตุแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประสานความร่วมมือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะนี้ซ้ำรอย” ดร.สุเมธ กล่าว
ส่วนด้านการชดเชยเยียวยานั้น ดร.สุเมธ วิเคราะห์ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและยกระดับการชดเชยเยียวยาได้ดียิ่งขึ้น โดยในอดีตประกันภัยจะเป็นรูปแบบประกันภัยภาคบังคับซึ่งมีวงเงินชดเชยเยียวยาค่อนข้างต่ำ แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทางกรมการขนส่งทางบกมีคำสั่งกำหนดให้ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารทำประกันภัยภาคสมัครใจเพิ่มเติมให้กับรถทุกคัน ทั้งยังได้มีการยกระดับวงเงินคุ้มครองเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันวงเงินคุ้มครองภาคบังคับอยู่ที่ 500,000 บาทต่อผู้เสียชีวิตหนึ่งราย ส่วนวงเงินภาคสมัครใจที่กรมการขนส่งทางบกบังคับให้ผู้ประกอบการได้ทำอีกไม่น้อยกว่า 500,000 บาทต่อผู้เสียชีวิตหนึ่งราย ส่งผลให้เมื่อเกิดเหตุผู้เสียชีวิตจะได้เงินชดเชยเยียวยาประมาณ 1,000,000 บาท จากเดิมที่ชดเชยอยู่เพียง 200,000 บาท ทำให้เห็นว่า ณ ปัจจุบันผู้ประกอบการเริ่มเห็นความสำคัญของระบบประกันภัย ทำให้ถูกนำมาชดเชยเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นผ่านการกำกับดูแลของภาครัฐ
ทั้งนี้ หากเรานำค่าชดเชยเยียวยามาวิเคราะห์กับความเหมาะสมของภาระหน้าที่ของผู้เสียชีวิตแต่ละรายในความเป็นจริงย่อมไม่เท่ากัน ทำให้ผู้เสียหายแต่ละรายมีสิทธิที่จะฟ้องร้องเพิ่มเติมจากผู้ประกอบการ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวค่อนข้างใช้เวลานาน และอาจจะได้รับค่าชดเชยเยียวยาที่ล่าช้าลงไป เช่น กรณีนักศึกษาตกรถเมล์ที่ใช้เวลาฟ้องร้องนานหลายปี แต่ท้ายที่สุดก็ได้เงินชดเชยกลับมาหลักหลายล้านบาท อย่างไรก็ตาม สภาองค์กรของผู้บริโภคมองว่า หากระบบการประกันภัยสามารถชดเชยได้รวดเร็วขึ้น ผ่านระบบเบี้ยประกันภัยที่อาจจะต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้น ก็อาจทำให้ผู้เสียหายไม่ต้องผ่านเข้าสู่กระบวนการการฟ้องร้องของศาล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นต้องผลักดันต่อไปในอนาคต
“เราคงต้องทำทั้ง 2 ด้านทั้งมาตรการป้องกัน โดยจะเร่งเสนอมาตรการป้องกันไปยังกรมการขนส่งทางบก และมาตรการด้านการเยียวยาซึ่งได้ร่วมกันถอดบทเรียนและสรุปข้อเสนอเพื่อนำส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปเช่นเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ นอกจากนี้ การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้บริโภคถึงสิทธิของตนเองหากประสบอุบัติเหตุ ก็เป็นเรื่องจำเป็นและเป็นภารกิจที่ต้องเร่งลงมือทำด้วยเช่นกันเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิทธิที่ตนควรจะได้รับอย่างเหมาะสมต่อไป” ดร.สุเมธ สรุป