รายงานวิจัยเกี่ยวกับความยั่งยืนระดับโลกประจำปี 2564 จัดทำโดย Simon-Kucher & Partners ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการกำหนดราคาระดับโลก เผยว่า หนึ่งในสามของผู้บริโภคทั่วโลกเต็มใจที่จะจ่ายเงินในราคาที่สูงขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น
โดยในปี 2563 "ตลาดรองเท้าทั่วโลก" มีมูลค่ารวม 3.842 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ "ตลาดรองเท้าเพื่อความยั่งยืน" หรือ "sustainable footwear" มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2% ของอุตสาหกรรมรองเท้าทั้งหมด
ด้วยอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของอุตสาหกรรมรองเท้าซึ่งอยู่ที่ 2.3% คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 "มูลค่าตลาดรองเท้าโลก" จะเพิ่มสูงถึง 4.823 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ "ตลาดรองเท้าเพื่อความยั่งยืน" คาดว่าจะเติบโตนำหน้าอุตสาหกรรมรองเท้าโดยรวม โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 5.6% เลยทีเดียว จึงมีความจำเป็นที่บริษัทและธุรกิจต่าง ๆ ต้องเตรียมพร้อมและตอบรับความต้องการเรื่องความยั่งยืนที่จะกลายมาเป็นบรรทัดฐานความคาดหวังของผู้บริโภคในอนาคต ไม่ใช่เพียงแค่ผลิตภัณฑ์หรือบริการทางเลือกอีกต่อไป
ดร. มินหลี่ จ้าว รองประธานฝ่ายประสิทธิภาพวัสดุสำหรับตลาดผู้บริโภคของ BASF บริษัทผู้ผลิตเคมีภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก กล่าวเกี่ยวกับพันธกิจความมุ่งมั่นขององค์กรในการขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินงานและการสร้างสรรค์วัสดุและผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงมุมมองความยั่งยืนขององค์กร
โดยกล่าวว่า “เมื่อกล่าวถึงรองเท้าที่ผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืน คนทั่วไปมักจะนึกถึงรองเท้าที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล ที่บีเอเอสเอฟ เรามั่นใจว่าเรากำลังสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดยวัสดุที่ยั่งยืนสามารถนำมาผลิตรองเท้าได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าลำลอง รองเท้านิรภัย รองเท้าบูท และรองเท้ากีฬา”
๐ ยืนยีน "รองเท้าเพื่อความยั่งยืน"
ไม่ใช่แค่เทรนด์ทางเลือก แต่คือสิ่งจำเป็นในอนาคต
บีเอเอสเอฟ เชื่อว่าเราไม่ควรหยุดนิ่งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่คาดการณ์และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเทรนด์ล่าสุดและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และในตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ทุกอุตสาหกรรมจะต้องก้าวไปสู่ความยั่งยืน บีเอเอสเอฟ ได้มีการกำหนดเป้าหมายระยะยาวเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย พนักงาน และสังคม โดยหลักการของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในห่วงโซ่รองเท้าของบีเอเอสเอฟนั้นจะครอบคลุมหลักการสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ การลด (Reduce), การรีไซเคิล (Recycle) และ แนวคิดโมเดลธุรกิจใหม่ (Rethink) ด้วยเป้าหมายหลักของบีเอเอสเอฟคือการลดการใช้ทรัพยากรฟอสซิลและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
“เรากำลังพยายามบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิระดับโลกภายในปี 2593 ซึ่งการใช้ Elastopan® N (ระบบพียู) และ Elastollan® N (ทีพียู) มีส่วนสนับสนุนในโครงการนี้ เนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบหมุนเวียน เช่น น้ำตาล ข้าวโพด หรือน้ำมันละหุ่ง โซลูชันพลาสติกชีวภาพเหล่านี้มีระดับความหนาแน่นและความแข็งแรงทนทานให้เลือกใช้อย่าง่หลากหลาย ซึ่งถือว่าเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมรองเท้าทั้งหมด” ดร. จ้าว กล่าว
คุณลักษณะสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนของบีเอเอสเอฟมี 2 ประการ คือ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าวัสดุที่ใช้ผลิตรองเท้าทั่วไป และสามารถรีไซเคิลได้เมื่อสิ้นสุดการใช้งาน บีเอเอสเอฟใช้วัสดุและเส้นใย TPU (เทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทนอีลาสโตเมอร์) และ PU (โพลียูรีเทนอีลาสโตเมอร์) ที่มีคุณสมบัติปราศจากตัวทำละลายและโลหะหนัก ใช้วัสดุที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงที่มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ได้รับการพัฒนา ให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสามารถตอบโจทย์ด้านงานดีไซน์ได้อย่างหลากหลายรูปแบบ
บีเอเอสเอฟ มองเห็นว่ารองเท้าที่มีคุณภาพดีและทนทาน จะเป็นสิ่งที่แพร่หลายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งรวมถึงแนวทางการนำวัสดุต่างๆ มาปรับใช้กับเทรนด์แฟชั่นของรองเท้าที่หลากหลาย เช่นเทรนด์รองเท้าที่ออกแบบมาให้สามารถสวมใส่สบายที่สามารถใช้งานได้ทั้งในชีวิตประจำวันและการออกกำลังกาย (Athleisure) เป็นต้น
แนวทางด้านความยั่งยืนคือหัวใจสำคัญที่สะท้อนถึงเป้าหมายหลักของแบรนดมาตลอด ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของบีเอเอสเอฟในการสร้างสรรค์วัสดุสำหรับรองเท้ามานานกว่า 40 ปี เพื่อช่วยให้แบรนด์รองเท้าที่มีเป้าหมายความมุ่งมั่นเดียวกันได้สร้างความแตกต่างเพื่อก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า
ตัวอย่างของวัสดุที่ยั่งยืนสำหรับรองเท้าที่บีเอเอสเอฟผลิตขึ้น คือผลิตภัณฑ์จากโฟม Elastopan ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตพื้นรองเท้าผ้าใบทำได้ง่ายดายขึ้น โดยไม่ส่งผลต่อความสบายในการสวมใส่หรือประสิทธิภาพการใช้งาน พื้นรองเท้าชั้นในช่วยมอบประสบการณ์การเดินที่ดีขึ้นแก่ผู้บริโภค โดยสามารถก้าวเดินได้อย่างมีน้ำหนักมากขึ้น และสามารถรองรับแรงกระแทกด้วยการกระจายแรงกดของเท้าตั้งแต่ส้นจรดปลายเท้า ช่วยให้ควบคุมการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการเดิน และคืนน้ำหนักเมื่อก้าวเดิน ขณะที่ช่วยพัฒนาการเดินได้ให้เกิดความสบายและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมี Infinergy® วัสดุโฟมที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% และเป็นพียูโฟมที่มีคุณสมบัตินุ่มเด้งช่วยส่งพลังงานคืนกลับให้กับผู้สวมใส่ (energy return) น้ำหนักเบาและรองรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี Infinergy® ยังเพิ่มความสบายและความยืดหยุ่นในการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การทำรองเท้าจนถึงไปถึงพื้นรองเท้าและอุปกรณ์กีฬา
๐ แนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน
ในแง่ของแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องวัสดุ บีเอเอสเอฟ ได้ยกตัวอย่างแบรนด์รองเท้าชั้นนำอย่างทิมเบอร์แลนด์ (Timberland) ที่เป็นหนึ่งในพันธมิตรรายสำคัญของบีเอเอสเอฟที่่นำเอาความยั่งยืนไปผสมผสานกับประสิทธิภาพรองเท้า ทิมเบอร์แลนด์เลือกใช้โฟม Elastopan พียูแบบไฮรีบาวด์ (Elastopan high-rebound PU foam) ที่มีประสิทธิภาพยืดหยุ่นสูงในการผลิตพื้นรองเท้าชั้นกลาง (midsole) และแผ่นรองเท้า (insole) สำหรับรองเท้านิรภัยรุ่น Reaxion ซึ่งช่วยทำให้รู้สึกสบายแม้สวมใส่ตลอดวัน
บีเอเอสเอฟ พร้อมขับเคลื่อนศักยภาพอันแข็งแกร่งของแบรนด์บนเวทีอุตสาหกรรมรองเท้าระดับโลกให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิคด้านรองเท้าโดยเฉพาะในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ รวมถึงลงทุนในเทคโนโลยีและเครื่องมือล่าสุดเพื่อผสานนวัตกรรมและโซลูชั่นที่ยั่งยืนในกระบวนการผลิตของเราทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย สิ่งนี้สอดคล้องกับพันธกิจด้านการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของบีเอเอสเอฟอย่างชัดเจน เพื่อการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน
แนวทางด้านความยั่งยืนจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมรองเท้า บีเอเอสเอฟเข้าใจถึงความสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG - Sustainable Development Goals) และสนับสนุนสหประชาชาติในการทำให้โลกของเรามีความยั่งยืนมากขึ้น บีเอเอฟเอส มีส่วนร่วมอย่างมากในการพัฒนา SDGs ในฐานะสมาชิกของคณะที่บริหารงานด้านนี้ โดยเฉพาะโครงการลดความอดอยากให้เป็นศูนย์ (SDGs Zero Hunger) รวมถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การจัดการน้ำและสุขาภิบาล การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบีเอเอสเอฟ
บีเอเอสเอฟ ได้ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ในการประเมินและปรับปรุงประสิทธิภาพความยั่งยืน และเรายังให้ซัพพลายเออร์มีส่วนร่วมในโครงการการจัดการ CO2 อีกด้วย สำหรับกระบวนการดำเนินงานของเรา เราใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของระบบการผลิตแบบบูรณาการ หรือที่เรียกว่า เวอร์บุน (Verbund) เราดำเนินการด้วยความรับผิดชอบและปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยลดการปล่อยมลพิษและของเสีย เราสนับสนุนการปกป้องระบบนิเวศอย่างป่าไม้และมหาสมุทรผ่านโครงการต่างๆ เช่น การมีส่วนร่วมในกลุ่ม Alliance to End Plastic Waste นอกจากนี้ เรากำลังดำเนินการจัดการทรัพยากรน้ำแบบยั่งยืนที่โรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ และที่โรงงานที่ดำเนินงานแบบ Verbund
ภายในปี 2568 บีเอเอสเอฟ ตั้งเป้าที่จะแปรรูปวัตถุดิบรีไซเคิลและวัสดุที่มาจากขยะจำนวน 250,000 เมตริกตันต่อปี เพื่อมาแทนที่การใช้วัตถุดิบฟอสซิล และบริษัทยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายให้โตขึ้นเป็นสองเท่า คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 17 พันล้านยูโร ภายในปี 2573 ผ่านการใช้โซลูชันเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วย
“ที่บีเอเอสเอฟ เราสร้างสรรค์นวัตกรรมเคมีภัณฑ์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยผสมผสานความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น เข้ากับการปกป้องสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม เราช่วยให้ลูกค้าของเรา ไม่เพียงแค่ในอุตสาหกรรมรองเท้าเท่านั้น แต่ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของเรา ลูกค้าเกือบจะทุกอุตสาหกรรมสามารถผลิตสิ่งของที่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมในปัจจุบันและอนาคตได้ด้วย” ดร.จ้าว กล่าวสรุปทิ้งท้าย