เมื่อวันก่อน (17 มีนาคม 2565) เจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาการจัดการพื้นที่อนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (สาขาลำปาง) จนท.สัตวแพทย์และสัตวบาล สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) จนท. ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย และจนท.มูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ ร่วมลงพื้นที่เพื่อวางแผนและเตรียมการปล่อยช้างป่า (พังทับเสลา) คืนสู่ธรรมชาติในพื้นที่ ขสป.ดอยผาเมือง
นายศุภกิจ วินิตพรสวรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาการจัดการพื้นที่อนุรักษ์สัตว์ป่า เผยว่าได้ดำเนินการติดอุปกรณ์ติดตามตัว (GPS Collar) ให้แก่ช้างแม่รับ (พังวาเลนไทน์) เพื่อประโยชน์ในการติดตามพฤติกรรมของแม่และลูกช้างป่า ตามโครงการการปล่อยช้างป่าคืนสู่ธรรมชาติในระยะถัดไป
หลังจากขึ้นโพสต์นี้ เหล่าเอฟซี ลูกช้างป่าพลัดหลง “พังน้อยทับเสลา” ลูกช้างจอมดรามา ต่างพากันใจหาย เข้ามาแสดงความเป็นห่วงใย หวั่นเผชิญภัยธรรมชาติต่างๆ ที่ทับเสลาอาจจะรับไม่ไหวเหมือนลูกช้างป่าทั่วไป เนื่องจากตั้งแต่เกิดจนอายุใกล้ 3 ขวบ เติบโตมาได้เพราะพ่อรับ (เจ้าหน้าที่คนดูแล) คอยป้อนนมทุกวัน ตั้งแต่ไม่ยอมเข้าโขลงแม่ ที่ห้วยขาแข้ง จนกระทั่งย้ายมาอยู่ดอยผาเมือง ลำปาง
ยิ่งตอนนี้ ทับเสลาเริ่มกินหญ้า ใบไม้ เป็นบ้างแล้ว ก็ยังมีเอฟซี คอยตามให้ทุนสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง แถมยังเป็นช้างป่าแม่รับให้กับลูกช้างพลัดหลงที่คงมีเพียงคู่เดียวในตอนนี้ทื่ถือว่าประสบผลสำเร็จ ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยมีลูกช้างป่าพลัดหลง ชื่อว่า”ชบาแก้ว” ที่เห็นว่าเข้ากันได้อย่างดีกับแม่รับ ทว่าชบาแก้ว ก็มาล้มป่วยและจากไปแบบกระทันหัน นั่นคืออีกสาเหตุที่เหล่าเอฟซีต่างพากันหวั่นไหว กลัวทับเสลาจะประสบเหตุซ้ำรอย
ปัจจุบัน หลายคนเรียกชื่อทับเสลา ด้วยความเอ็นดูยังคงมีชื่อที่หลากหลายเช่นเคย เช่น เหลา อ้วง (เพราะรูปร่างอ้วนท้วน) พังหัวตั้ง (ขนบริเวณหัวตั้งชัน) เป็นต้น
ข้อมูลอ้างอิง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง
ถึงตอนนี้ ทับเสลา ยังคุ้นชินในการกินนมจากพ่อรับเหมือนเดิม จึงเป็นไปได้ว่า จนท.คงตัดสินยากสักหน่อย ในการปล่อยคืนป่า ซึ่งคาดว่าจะปล่อยแบบคอยตามอยู่ห่างๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป
เหลากับแม่ ใครไม่รู้มาก่อน ก็คงไม่รู้ว่า ไม่ใช่แม่ลูกกันจริง เพราะแม่วาเลนไทน์ คอยดูแลอย่างดี