กลุ่มมิตรผล จับมือ กฟผ. ลงนามความเข้าใจสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้แห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี ด้านพลังงานหมุนเวียน มุ่งใช้ทรัพยากรและวัตถุดิบที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน ทั้งยังร่วมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดปัญหา PM 2.5 และลดการเผาไหม้ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน พร้อมโชว์ผลสำเร็จที่ผ่านมา เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. และ กลุ่มมิตรผล มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันมาอย่างยาวนาน ได้ร่วมกันนำจุดแข็งของทั้ง 2 องค์กรมาแบ่งปันและสร้างสรรค์สิ่งที่ดีมาโดยตลอด ซึ่งหลายแนวคิดของกลุ่มมิตรผลเป็นแนวคิดที่เป็นแบบอย่างที่ดี เช่น การใช้ Circular Economy ในองค์กร นำวัตถุดิบและทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สุงสุด สำหรับ กฟผ. มีความรู้และประสบการณ์ในด้านการดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ได้นำองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมอุปกรณ์หม้อน้ำของ กฟผ. มาศึกษา วิจัยและพัฒนาอุปกรณ์หม้อน้ำในโรงไฟฟ้าชีวมวลของกลุ่มมิตรผล ให้สามารถรองรับการใช้ใบอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้
นอกจากนั้น ทั้ง กฟผ. และ กลุ่มมิตรผล ยังได้ร่วมมือกันสนับสนุนด้านเทคนิคและโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด และระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ระหว่าง EGATi (บริษัทในเครือ กฟผ.) และ กลุ่มมิตรผล อีกทั้งยังได้ร่วมกันพัฒนาลีโอนาไดต์และยิปซั่มสังเคราะห์ซึ่งเป็นวัตถุพลอยได้ของ กฟผ.แม่เมาะ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย
ด้านนายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า กลุ่มมิตรผลและบริษัทในเครือได้ดำเนินธุรกิจบนเส้นทางอุตสาหกรรมอ้อย น้ำตาลและชีวพลังงาน ภายใต้แนวคิด “สร้างคุณค่า สร้างอนาคตที่ยั่งยืน” โดยมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดคุณค่าจากอ้อย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกกระบวนการผลิต นำไปสู่การต่อยอดธุรกิจต่างๆ กว่าจะมาถึงวันนี้ กฟผ. และ กลุ่มมิตรผล ใช้เวลาทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การทำโรงไฟฟ้าชีวมวลโดยใช้เชื้อเพลิงจากชานอ้อย จนกระทั่งสามารถนำใบอ้อยซึ่งเป็นชีวมวลที่เหลือจากภาคเกษตร มาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ โดยได้รับความร่วมมือด้านองค์ความรู้จาก กฟผ. ซึ่งใบอ้อยเหลือทิ้งในแต่ละปีมีเป็นจำนวนมาก การนำใบอ้อย และฟางข้าวมาใช้เป็นเชื้อเพลิงนั้น นอกจากจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรแล้วยังช่วยลดปัญหาการเผาวัสดุชีวมวลทางการเกษตร ลดปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนอีกด้วย