บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นปิโตรเลียมรายใหญ่ในประเทศไทย และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกาศความมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจและพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบการดำเนินงานที่ครอบคลุมมิติด้าน ESG พร้อมสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนคู่คนไทย ในฐานะผู้สร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า ไทยออยล์ดำเนินนโยบายด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมปัจจัยสำคัญด้านความยั่งยืน หรือ ESG (Environment, Social, Governance) ที่รับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ดังนี้
E - Environment: Enhance Environment การตอบสนองต่อทิศทางของโลกในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกและเป็นเศรษฐกิจสีเขียว มุ่งผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และศึกษาแนวทางสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ในอนาคต
S - Social: Engage Society มุ่งเน้นในการสร้างประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ให้เป็นรูปธรรม ผ่านโครงการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม
G - Governance: Ensure Good Governance ให้ความสำคัญกับเรื่องระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) มาโดยตลอด
นายวิรัตน์ กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ผสานกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการอยู่ร่วมกับชุมชนรอบโรงกลั่น และได้นำแนวคิด ESG มาใช้เป็นกลยุทธ์ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา ซึ่งได้กลายเป็น DNA ของบริษัทฯ มาจนถึงปัจจุบัน ไทยออยล์อยู่ร่วมกับสังคมมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปีที่ผ่านมา เป็นโรงกลั่นที่เกิดขึ้นกลางชุมชน และเติบโตไปพร้อมกันกับชุมชนโดยรอบ ถือเป็นบริษัทต้นแบบของการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับชุมชน พร้อมทั้งได้ดำเนินโครงการด้านสังคมมาอย่างต่อเนื่อง”
ไทยออยล์ มุ่งเน้นการเสริมสร้างสังคมและชุมชนใน 4 ด้าน ได้แก่
1. ด้านการศึกษา โดยการสนับสนุนกลุ่ม ปตท. จัดตั้งสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) มหาวิทยาลัยด้านนวัตกรรมระดับแนวหน้าของไทย รวมถึงการร่วมก่อตั้ง โรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) สถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่เน้นความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ เพื่อการวิจัยและพัฒนา และสร้างบุคคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติ อีกทั้ง มีการพัฒนาเยาวชนไทย ด้วยการยกระดับการศึกษา โดยมอบทุนการศึกษาให้กับนิสิตนักศึกษาที่เรียนดีจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศและเยาวชนในพื้นที่รอบโรงกลั่น ทั้งที่อยู่ในสถาบันการศึกษาในเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง และอำเภอศรีราชา พร้อมทั้งได้จัดตั้งกองทุนการศึกษากลุ่มไทยออยล์ เพื่อสถาบันการศึกษารอบโรงกลั่น
นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนโครงการด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED) ภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ (E5) โดยร่วมกับกลุ่ม ปตท. เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำของโรงเรียนและภาคการศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนด้านการศึกษาผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวางแผนพัฒนาโรงเรียนร่วมกับผู้บริหารโรงเรียน
2. ด้านสาธารสุข สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของชุมชน ด้วยการสร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมบริหารจัดการในพื้นที่ด้วยรูปแบบ “สามประสาน” เป็นการจัดเวทีประชุมร่วมระหว่างกลุ่มไทยออยล์ ชุมชน และหน่วยราชการ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชน และเสริมทักษะที่จำเป็นในการทำงานชุมชน นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการ “ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน” ซึ่งมุ่งเน้นกิจกรรม 3 ด้านหลัก ได้แก่ “การสร้างเสริมสุขภาพชุมชน” โดยให้การดูแลด้านทันตกรรมและเวชศาสตร์ชุมชน “การส่งเสริมการเรียนรู้ชุมชน” จัดทำคลินิกทำฟัน รวมถึงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉินให้กับโรงพยาบาลแหลมฉบัง และ“การพัฒนาชุมชนน่าอยู่” โดยจัดทำโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ “ชุมชนน่าอยู่” สนับสนุนเครื่องเล่นเด็กและอุปกรณ์ออกกำลังสำหรับชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนด้านกีฬา โดยดำเนินโครงการ “ไทยออยล์ปั้นฝันเยาวชน สู่ความเป็นหนึ่ง เพื่อพัฒนาทักษะด้านกีฬาฟุตซอลและฟุตบอล” ภายใต้ความร่วมมือกับ “สโมสรฟุตซอลฟรีโฟร์ บลูเวฟ ชลบุรี” และสโมสรฟุตบอลพีทีที อะคาเดมี่ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตเยาวชนรอบโรงกลั่นและลูกหลานพนักงานผ่านการฝึกทักษะการกีฬาฟุตบอลและฟุตซอล และสนับสนุนกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ในพื้นที่รอบโรงกลั่น
3. ด้านพลังงานและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม โดยการนำความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญด้านพลังงานไปช่วยเหลือสังคม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทางเลือกให้กับงานด้านสาธารณสุข เพื่อลดค่าใช้จ่าย และสร้างเสถียรภาพด้านพลังงาน ขณะเดียวกัน ยังช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับโรงพยาบาล และนำผลประโยชน์มาต่อยอดให้กับโครงการช่วยเหลือสังคม นอกจากนี้ ยังส่งเสริมโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของโลก อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษทางน้ำ ความมั่นคงด้านอาหาร สุขภาพของมนุษย์ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และภัยพิบัติ ตามหลักการจัดการที่ยั่งยืน ด้วยการใช้ธรรมชาติเพื่อจัดการกับความท้าทายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Nature Based Solutions) และตอบสนองต่อเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยมีการบริหารจัดการกระบวนการผลิต (CSR in process) ตามมาตรฐานสากลที่ยั่งยืน ด้วยการประยุกต์ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และกลไกใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังส่งเสริมการอนุรักษ์ระบบนิเวศบริเวณพื้นที่ข้างเคียงโรงกลั่น เพื่อแสดงถึงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาพื้นที่ให้เป็น “โรงกลั่นสีเขียว” รวมทั้ง รณรงค์สร้างจิตสำนึกของพนักงานในการร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานให้น่าอยู่อย่างต่อเนื่อง และมุ่งพัฒนาโครงการเพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4. ด้านศาสนาและวัฒนธรรม โดยมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมด้านศาสนาและวัฒนธรรมให้กับชุมชน อาทิเช่น กิจกรรมสวดมนต์เย็น ผ่านช่องทางออนไลน์ จัดกิจกรรมในทุุกวันโกน (ขึ้้น 7 และ 14 ค่ำ) และกิจกรรมสวดมนต์เย็นในช่วงเข้าพรรษาทุกวันคู่ นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมหล่อเทียนพรรษาสามัคคี ถวายเทียนพรรษาสามัคคี และ กิจกรรมกฐินสามัคคีประจำปีอีกด้วย
ล่าสุด ไทยออยล์ติดอันดับกลุ่มบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซจากการเป็นสมาชิก Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) 2564 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยยึดหลัก ESG ซึ่งให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นการยืนยันถึงความสำเร็จของธุรกิจที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และตอกย้ำการเป็นองค์กรแห่งคุณภาพที่มีความน่าเชื่อถือและสร้างคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) มาโดยตลอด
นอกจากนี้ เพื่อต่อยอดธุรกิจสู่อนาคต ไทยออยล์มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ Empowering Human Life Through Sustainable Energy and Chemicals “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน” โดยอาศัยรากฐานที่มั่นคงจากธุรกิจหลัก คือ การกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และต่อยอดไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน การผลิตไฟฟ้า รวมถึงการจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทสารทำละลาย และการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ภายใต้กลยุทธ์หลัก Building On Our Strong Foundation (3 Vs) ซึ่งประกอบด้วย
1) Value Maximization: Integrated Crude to Chemicals
การบูรณาการสร้างคุณค่าสูงสุดให้แก่ทุกโมเลกุลที่ผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่าปิโตรเลียมถึงปิโตรเคมี เพื่อเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับผลิตภัณฑ์ เสริมสร้างความสามารถและความยืดหยุ่นในการแข่งขัน โดยใช้ประโยชน์จากธุรกิจการกลั่น (Refinery) เป็นฐานการผลิตสำคัญ เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี เช่น อะโรเมติกส์ โอเลฟินส์ และเคมีภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง High Value Products (HVP)
2) Value Enhancement: Integrated Value Chain Management
การบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่า ผ่านฐานลูกค้าทั้งในประเทศและในภูมิภาค โดยมุ่งให้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น เพื่อเข้าถึงความต้องการของลูกค้า และสามารถกระจายผลิตภัณฑ์ได้ตามที่ตลาดต้องการ โดยเจาะลึกในตลาดภูมิภาคที่มีความต้องการสูง
3) Value Diversifications
การกระจายการเติบโตเพื่อสร้างความมั่นคงผ่านพอร์ตการลงทุน (Portfolio) ของบริษัทฯ โดยการกระจายพอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงรองรับความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น ธุรกิจไฟฟ้า รวมถึงแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) ที่สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต
ความสำเร็จในธุรกิจของไทยออยล์ ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดถึงความมุ่งมั่น ศักยภาพ และความแข็งแกร่งในการก้าวย่างอย่างมั่นคง ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องควบคู่สังคมในบริบทใหม่ เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กร 100 ปี ที่ยืนหยัดท่ามกลางความท้าทายของโลกอนาคตได้อย่างยั่งยืน


