ความเดิมตอนที่แล้ว ผมได้เล่าให้เห็นภาพว่าก๊าซเรือนกระจกคืออะไร มาจากไหน ดังนั้น แน่นอนว่าการลดกิจกรรมที่ต้นเหตุทุกชนิด ย่อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปในตัว
ขอยกตัวอย่างสิ่งที่ควรลดและมาตรการเสริมดังนี้ครับ
1. เราต้องหาทางทดแทนเครื่องจักรเครื่องยนต์ทุกอย่างที่ใช้น้ำมันเป็นหลัก แล้วหันมาใช้พลังขับเคลื่อนมันด้วยพลังงานสะอาดอื่นๆ แทน
ยิ่งถ้าโรงผลิตไฟฟ้าของเราใช้พลังงานสะอาดได้มากเท่าไหร่ เราก็จะมีทางเลือกอื่นเข้ามาทดแทนได้เช่น รถยนต์ไฟฟ้า เรือไฟฟ้า รถไฟไฟฟ้า จักรยานไฟฟ้า โดรนส่งของ รวมทั้งโรงงานสารพัด ภาคขนส่ง และภาคพลังงาน ต้องรับบทหนักมากหน่อย
2. เราต้องเลิกเผาป่า เผาตอซัง และเศษวัสดุในแปลงเกษตร เพราะนั่นจะลดทั้งฝุ่นทั้งควัน ลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ทางเลือกที่น่าสนใจคือ การเอาฟางเอาเศษเปลือกต่างๆ ของพืช ขายเข้าโรงต้มในท้องถิ่น เป่าให้แห้งแล้วบดเป็นผงเพื่อนำมาอัดขึ้นรูปใช้แทนภาชนะโฟม
สำหรับบรรจุอาหารซึ่งเรามีแผนห้ามใช้โฟมในปีหน้าที่จะถึงเป็นต้นไปอยู่แล้ว ทำดีๆ เราจะสามารถส่งออกเป็นสินค้า หารายได้เข้าประเทศได้อีกด้วย
3. เราต้องลดการทานเนื้อปศุสัตว์ แล้วหันมาเร่งพัฒนาโปรตีนจากพืชให้มาก ส่วนนมและเนยนั้น บัดนี้ มีนวัตกรรมใช้จุลินทรีย์เพื่อสร้างโปรตีนที่เหมือนน้ำนมวัวทุกประการ โดยไม่ต้องรบกวนวัว แม้แต่ตัวเดียว ไม่ต้องมีทุ่งหญ้าใส่ปุ๋ยเคมีไปเติมเป็นก๊าซเรือนกระจก ไม่ต้องแย่งน้ำมารดทุ่งหญ้าให้ปศุสัตว์ ลดการปลูกพืชไร่เลี้ยงสัตว์ได้ด้วย
เน้นปลูกพืชเลี้ยงคนก็น่าจะพอ ที่ดินที่เหมาะจะเพาะปลูก ไม่ได้มีมากจนไม่จำกัดเสียแล้ว
4. ลดสุสานขยะ ด้วยการแยกหมักขยะเปียกให้เป็นปุ๋ย เพื่อลดบ่อฝังกลบที่เต็มไปด้วยการเน่าเปื่อย ปล่อยก๊าซมีเทน แถมยังไม่ต้องเผาทำลายขยะ อย่างไม่จำเป็น
5. เสื้อผ้ารองเท้าผ้าใบสุดโทรม ซึ่งทำจากเส้นใย ควรถูกนำไปรีไซเคิล เหมือนที่เราทำได้แล้วกับขวดแก้ว กระดาษ โลหะ และพลาสติก
ถ้าเส้นใยใช้แล้วถูกนำกลับมาต้มแล้วทอใช้ใหม่ เราจะลดการถางป่าปลูกฝ้ายและลดการผลิตเส้นใยจากพลาสติกในภาคปิโตรเคมีอีกมาก
เส้นใยที่มนุษย์สร้างมาตลอดศตวรรษนี้ น่าจะมีเพียงพอในการห่อหุ้มให้ความอบอุ่นและนำมาผลิตใช้ใหม่ตามแฟชั่นของยุคต่างๆ ได้เพียงพอทั้งโลกอยู่แล้ว ขอเพียงแยกสีของเส้นใยที่จะรีไซเคิลไว้ ก็จะสามารถลดขั้นตอนการฟอกย้อมใหม่ได้อีกมหาศาลเช่นกัน
6. เร่งส่งเสริมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะได้มีวิวัฒนาการใหม่ ในการสะสางก๊าซเรือนกระจกเดิมที่เคยปล่อยขึ้นไปลอยสะสมในชั้นบรรยากาศอย่างจริงจัง
7. ปลูกไม้ยืนต้นให้มากๆ ทั้งที่เป็น ไม้ชายเลน และไม้บกต่างๆ เพราะต้นไม้จะดึงคาร์บอนไดออกไซด์ ไปเก็บในเนื้อไม้ แถมยังคายออกซิเจนออกมาเติมให้อากาศ รักษาความชุ่มชื้นในดิน และเป็นเครื่องจักรทางธรรมชาติที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนที่มหัศจรรย์ที่สุด
8. ฝึกใช้ทุกทรัพยากรและพลังงานอย่างประหยัด ให้เป็นนิสัย พยายามเลิกจากวัฒนธรรมใช้แล้วทิ้ง มาเป็นใช้เท่าที่จำเป็น
9. รัฐพึงมีมาตรการสนับสนุน การเปลี่ยนรูปแบบการผลิต ต่อทุกภาคส่วนในช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างพอเพียง
10.ฝึกกำหนดจิต ตั้งปณิธาน นำชีวิตด้วยความพอเพียง พอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน ในทุกจังหวะของชีวิต
ชีวิตท่ามกลางโควิดยังดำเนินต่อไป ยังไงเราก็ทำอย่างเคยไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น เรามาตั้งปณิธานที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตเราเองโดยไม่รอกฏหมาย หรือกติกาบีบรัดมาบังคับน่าจะดีกว่า
ทำแล้วดีต่อเราเอง ทำได้เยอะก็ยิ่งดีต่อสิ่งรอบข้าง
และต่อให้ทำทุกๆข้อข้างต้นได้จนครบหมด ก็ไม่แน่ว่าภัยจากภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจะหายไป หรือไม่มีภัยใหม่เข้ามาคุกคาม
แต่บัดนี้ น้ำฝนที่ท่วมทะลุถึงรถไฟใต้ดิน หมู่เกาะที่กำลังจะถูกทะเลท่วมหาย
ความแล้งที่ขยายทะเลทรายใหญ่ขึ้นทุกปี ผึ้งที่กำลังหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ไฟป่าจากความแล้งที่เผาจนป่าหมดทีละนับล้านเอเคอร์ แพขยะขนาดใหญ่กว่า6 แพที่หมุนวนโชว์ตัวสม่ำเสมอผ่านดาวเทียมในมหาสมุทร ฤดูกาลที่พลิกเพี้ยนหนักขึ้นอย่างรุนแรง
คือสัญญานที่ธรรมชาติเตือนเราแล้ว ว่าเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบเก่าเถอะ
ก่อนที่ระบบธรรมชาติจะไปถึงจุด Tipping point หรือ Point of No Return แล้วเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ใหม่ มาอยู่แทน
บทความโดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา
**อ่านตอนที่แล้ว Climate Change : Climate Chance : เปลี่ยนตัวเราก่อนเราจะถูกเปลี่ยน
https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9640000107769