ขยะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีเมืองไหน ประเทศใดปราถนาหรอกแต่มันก็มีขึ้น มากน้อยตามปริมาณการบริโภค และค่านิยมการทำตลาดของสินค้า
นั่นคือลักษณะของขยะธรรมดา
แต่ถ้าเป็นขยะพลาสติก นอกจากมีลักษณะข้างต้นครบถ้วน แต่ที่หนักกว่าคือมันจะอยู่ทนทานนานร้อยๆปี แม้แต่ตอนที่มันสลาย มันก็ยังไม่หมดอิทธิฤทธิ์เพราะมันแค่แตกตัวให้เล็กลงๆ จนตามองไม่เห็น
และเล็กลงจนไปอยู่ในห่วงโซ่อาหารของสิ่งมีชีวิต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะถ้ามันเป็นพลาสติกที่ผลิตจากปิโตรเลียม
มันจึงเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และร้ายแรง
รัฐบาลนายกฯบรรหาร ใน ปี 2539 จึงได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกหรือสิ่งใดที่ใช้ไม่ได้แล้วและทำจากพลาสติก เข้ามาในประเทศ เว้นแต่จะอนุญาตโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมก็ออกประกาศกรมโรงงาน ว่าเศษพลาสติกที่จะนำเข้ามาขออนุญาตนั้นต้องมีขนาดที่ตัดแล้วยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร และต้องสามารถใช้ส่งเข้ากระบวนการหลอมได้โดยไม่ต้องมีการทำความสะอาดอีก
10 ปีต่อมาจึงยกระดับจากประกาศกรมโรงงานมาเป็นระดับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
แปลว่าควบคุมโดยมีเงื่อนไขมาตั้งเกิน 20 ปีแล้ว ซึ่งก็ราบรื่นดี
เมื่อไม่มีการนำเข้ามาเยอะเกินไปราคาขยะในประเทศก็พอไปไหว ซาเล้ง และคนเก็บคุ้ยขยะ จึงสามารถเก็บเศษพลาสติกทั้งถุงทั้งขวด ทั้งเครื่องใช้พลาสติกมาชั่งน้ำหนักขายให้ร้านรับซื้อของเก่า รับซื้อขยะเพื่อรวบรวม แยกแยะตามหมวดวัสดุ ขายส่งเป็นวัตถุดิบให้โรงงานในไทยบ้าง ส่งไปขายในตลาดรับซื้อวัสดุเหลือใช้ในต่างประเทศบ้าง
จนมีตลาดกลางระหว่างประเทศที่มีราคากลางของเศษวัสดุชนิดต่างๆให้อ้างอิง คนจีนเรียกว่า หั่งเช้ง เสมือนเป็นดัชนีดาวน์โจนส์บอกสถานการณ์ตลาดของเรื่องนั้นๆ
คนคุ้ยขยะออกมาจากซากจากกองจึงนับว่ามีคุณต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไทยอยู่ไม่น้อย เพราะช่วยลดขนาดและปริมาณขยะในแต่ละถิ่นได้ ลดภาระเทศบาลและกทม.ไปในตัว แต่เขาจะทำอย่างนั้นได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เขาเก็บไปรวบรวม มันยังพอเหลือราคาค่างวดที่พอจะประทังชีพเขาได้
ถ้าขยะพลาสติกเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรับซื้อในราคาที่เขาพอจะอยู่ไหว ....เขาจะเก็บมันออกไปหรือ นับเป็นวิชาเศรษฐศาตร์สิ่งแวดล้อมเบื้องต้นอย่างหนึ่งได้เลยนะครับ
นั่นคือฉากแรก
ตัดภาพมาฉากสองของวงการขยะข้ามชาติ
ขยะที่ถูกรวบรวมตามฉากแรกตะกี้ มีเป็นจำนวนมากที่ส่งไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ เพราะในช่วงก่อร่างก่อนทะยานตัวจากชาติอุตสาหกรรมไปสู่ชาติไฮเทคนั้น จีนยอมรับสภาพการตกเป็นแหล่งรับและแหล่งก่อมลพิษ เพื่อแลกกับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
แต่พอกลางปี2560 จีนผ่านความตื่นตัวขนานใหญ่ และได้กลายเป็นชาติที่มีโครงการเศรษฐกิจสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
จีนจึงประกาศห้ามการนำเข้าขยะแทบทุกอย่างจากต่างประเทศ และให้เวลา3ปี จากปี2560 ที่จะไม่มีขยะอะไรจะเข้าจีนได้อีกในปี2563
ซึ่งหลังจากนั้นจีนก็ขยับ จัดระเบียบใหม่ในเรื่องอื่นๆตามมาอีกเป็นลำดับจนทุกวันนี้ ที่จีนสามารถบอกทุกชาติ และบอกคนรุ่นถัดไปในจีนได้ ว่าเขาได้กล้าหาญ และฉลาดเฉลียวพอที่จะเห็นแก่ประโยชน์ของการพัฒนาที่ไม่ทิ้งสิ่งแวดล้อม เห็นแก่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ แม้แต่การจำกัดเวลาเกมส์ออนไลน์ให้เยาวชนเล่นได้ ไม่เกินสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง!!
ถ้าเป็นชาติอื่นๆ คงลงแดง
แต่ถ้าทำเรื่องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญ มีแบบมีแผนมาเรื่อยๆ ผู้ต่อต้านก็จะเลี่ยงและถอยออกไปได้เอง
แน่นอนว่าเถ้าแก่โรงหลอมพลาสติกเพื่อผลิตนั่นนี่ที่ยังไม่อยากเปลี่ยนอาชีพก็ต้องกระเจิง สั่งย้ายระบบธุรกิจเสี่ยงๆต่อสิ่งแวดล้อมออกจากจีนไปหาที่ตั้งใหม่
จะไปไหนล่ะครับ ถ้าไม่มาอาเซียน และไทย ที่ใกล้กว่า และกำลังแข่งกันดึงดูดการลงทุนข้ามชาติเข้าไปหาพื้นที่ตัวเองมาตลอด40ปี
ปรากฏว่า ยอดการนำเข้าเศษพลาสติกพุ่งพรวดในปี2559 แล้วทะยานจากกราฟเรียบแบน ที่ไม่เคยเกิน5 -6หมื่นตันต่อปี กลายเป็น เกือบ 7 แสนตันต่อปี!!โต 10 เท่าตัว ทันที
บทความโดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
"...รัฐบาลนายกฯบรรหาร ใน ปี 2539 ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกหรือสิ่งใดที่ใช้ไม่ได้แล้วและทำจากพลาสติก เข้ามาในประเทศ เว้นแต่จะอนุญาตโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมก็ออกประกาศกรมโรงงาน ว่าเศษพลาสติกที่จะนำเข้ามาขออนุญาตนั้นต้องมีขนาดที่ตัดแล้วยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร และต้องสามารถใช้ส่งเข้ากระบวนการหลอมได้โดยไม่ต้องมีการทำความสะอาดอีก..."