วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 พร้อมเปิดเผยรายชื่อ 15 หลักทรัพย์ที่อยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่อง 7 ปีติดต่อกัน (2558-64) ในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนแบบยั่งยืนที่ทนทานต่อวิกฤตการณ์โควิด
สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ได้ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 ด้วยการคัดเลือกจาก 824 บริษัท/กองทุน/ทรัสต์เพื่อการลงทุน ทำการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 15,260 จุดข้อมูล
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการประธาน สถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “การพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ในปีนี้ นับเป็นปีที่สองของการประเมิน โดยใช้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูล การดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่มหรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ หรือการประหยัดต้นทุนของกิจการ ในรอบปีการประเมิน”
โดยผลการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่เข้าอยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 ประกอบด้วย AF AIMIRT AP ASIAN COTTO ETC LEO NRF PAP PCSGH SA SCGP SELIC SENA SFLEX SKR SONIC SSP STARK STI TM WICE WINMED ZIGA รวมทั้งสิ้นจำนวน 24 หลักทรัพย์
ทั้งนี้ สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ได้ทำการคัดเลือก 100 หลักทรัพย์ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2564 เพื่อใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการคำนวณดัชนี อีเอสจี ไทยพัฒน์ หรือ Thaipat ESG Index สำหรับใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน (Benchmark Index) และใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุนแก่บริษัทจัดการลงทุนที่มีการให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนในธีม ESG โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ S&P Dow Jones' Custom Indices
สำหรับรายชื่อ 100 หลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG หรือกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2564 สถาบันไทยพัฒน์จะดำเนินการแจ้งไปยังบริษัทที่ได้รับคัดเลือก โดยมิได้เปิดเผยเป็นการทั่วไป
อย่างไรก็ดี การลงทุนในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด หรือในสภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง หลักทรัพย์ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากผลตอบแทนการลงทุนที่ลดลง จะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าการลดลงของผลตอบแทนของตลาดโดยรวม
โดยเมื่อพิจารณาดัชนีผลตอบแทนรวม SET TRI ซึ่งเป็นดัชนีสะท้อนภาพรวมของตลาดทุนไทย ในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 อัตราผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงปัจจุบัน (17 พ.ค. 64) อยู่ที่ 2.97% ขณะที่ดัชนีผลตอบแทนรวม Thaipat ESG Index TR ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบขึ้นจากหลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นด้าน ESG ให้อัตราผลตอบแทนในช่วงเดียวกัน อยู่ที่ 10.5% หรือต่างกันอยู่ 7.53%
ทั้งนี้ รายชื่อหลักทรัพย์ที่อยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่อง 7 ปีติดต่อกัน (2558-64) มีอยู่จำนวน 15 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย ADVANC DELTA HMPRO INTUCH KBANK KKP LHFG NSI SCB SCC SNC SYNEX THANI TISCO TOG
ผู้ลงทุนที่สนใจข้อมูลหลักทรัพย์จดทะเบียนในกลุ่ม ESG Emerging และกลุ่ม ESG100 สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.esgrating.com