xs
xsm
sm
md
lg

“วิชา เห็นอกเห็นใจคนอื่น”/ พระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การเผชิญกับภัยคุกคามอย่างโควิด-19 นับว่า เป็นเรื่องแย่มากพออยู่แล้วสำหรับสังคมไทย แต่เรายังมีเรื่องแย่มากกว่านั้นซ้ำเติมเข้ามาอีก นั่นคือ การที่เราเอาแต่ด่าทอ และด่วนตัดสินกันและกันหนักข้อมากขึ้นทุกวัน

เสียงด่าทอนั้นเกิดขึ้นจากความไม่พอใจรัฐบาลบ้างไม่พอใจตำรวจที่หละหลวมในการรักษากฏหมายบ้าง ไม่พอใจคนที่ไม่รักษามาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้นบ้าง ไม่พอใจดาราหรือศิลปินบางคนที่ติดเชื้อโควิดแล้วไม่ดูแลตัวเองให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นบ้าง ไม่พอใจเหล่าอภิสิทธิ์ชนที่ทำตัวเหนือมนุษย์ทั่วไปจนกลายเป็นที่มาของระลอกที่ ๓ บ้าง ไม่พอใจวัคซีนที่ไม่แน่ใจว่า ปลอดภัยจริงๆ หรือเปล่าบ้าง

และที่แย่ที่สุดก็คือ ไม่พอใจประเทศไทยไปเสียทุกเรื่อง ที่อะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจไปเสียทั้งหมดแม้แต่เตียงสนามก็สู้สิงคโปร์ อังกฤษ ออสเตรเลีย อเมริกา ไม่ได้โดยหลงลืมความจริงไปว่า เราเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาเมื่อเทียบกับประเทศที่กล่าวมาเหล่านั้น

ถ้าเราจะหาเรื่องด่าทอกัน ตัดสินกัน ต่อให้มีพันปาก ด่ากันพันวัน ก็คงไม่จบไม่สิ้นในสังคมที่เต็มไปด้วยเสียงด่าทออย่างนี้ยังจะมีใครกี่คนที่มีความสุขกันล่ะ ผู้นำรัฐบาล คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ แพทย์ พยาบาล จิตอาสา สักกี่คนกันที่จะมีกำลังใจปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ

ผู้คนทุกวันนี้ทำตัวเหมือนเม่นเข้าไปทุกที เจอกันทีต้องสลัดขนพิษใส่หน้ากันจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด น้อยคนนักที่จะทำตัวเป็นแม่ไก่ที่เจอกันเมื่อไหร่ก็โอบปีกปกป้องลูกด้วยความรัก

วิกฤติโควิดก็หนักหนาแล้ว แต่วิกฤติความโกรธและเกลียดชังที่เริ่มก่อขึ้นมาในใจคน ซึ่งหากเราไม่ระวังและไม่สำเหนียกก็จะเป็นการซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายหนักลงไปอีก

ถ้าในสังคมมีแต่คนก่นด่าความมืด แต่ไม่มีคนจุดตะเกียงให้แสงสว่างกันเลย เราจะหาความสุขกันได้จากที่ไหน เราจะมีกำลังใจไขว่คว้าหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร

เติมพลังบวกเข้าไปในใจคนดีกว่าหยดยาพิษใส่แก้วน้ำให้คนอื่นกันดีไหม ?

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยผู้คนร้อยพ่อพันแม่และมีความซับซ้อนเสียยิ่งกว่ากรุงสุโขทัยเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วมักจะเต็มไปด้วยเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ของคนที่อยากให้ความต้องการของตนได้รับการตอบสนอง อย่างทันท่วงทีแต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าคนที่ปฏิบัติงานทั้งหลาย เพื่อให้ความต้องการของเราถูกมองเห็นและได้รับการตอบสนองนั้น

เขาก็เป็นคนเหมือนกันกับเรานั่นเอง เขาก็มีครอบครัว มีพ่อมีแม่ มีลูกมีหลาน เขาก็อยากมีคุณภาพชีวิตเช่นเดียวกันกับเราและแน่นอน เขาก็อ่อนไหว เสียอกเสียใจเป็นพอๆ กับเราด้วย

หากเราไม่เห็นอกเห็นใจกัน ไม่พยายามเข้าอกเข้าใจกัน ไม่ส่งเสริมกำลังใจให้แก่กันและกัน สถานการณ์เลวร้ายทั้งหลายจะดีขึ้นง่ายๆ ได้อย่างไรกัน ด่าทอกันมามากพอแล้ว เราลองมาส่งพลังบวกให้กันบ้างดีไหม ?

วันก่อนผู้เขียนได้อ่านพบบทความธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง ที่เขียนโดยใครก็ไม่รู้ที่ส่งต่อๆ กันมาทางไลน์ แต่เนื้อหานั้นไม่ธรรมดาเลย เพราะสารที่บทความนี้ต้องการจะสื่อ คือสิ่งที่สังคมไทยและสังคมโลกกำลังขาดแคลนอยู่ในตอนนี้ และเราก็ต้องการมันพอๆ กับวัคซีนป้องกันโควิดเลยทีเดียว ลองมาอ่านกันดู

"แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านเป็นประจำทุกวัน คืนหนึ่ง หลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน
แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราตามปกติ ที่โต๊ะอาหาร แม่วางจาน ที่มีปลาทูไหม้เกรียมบนโต๊ะต่อหน้าพ่อและทุกๆคน ผมรอว่า แต่ละคนจะว่าอย่างไรแต่... พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตากินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่า ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

คืนนั้น หลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อ ที่ทอดปลาทูไหม้ และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย
"โอย... ผมชอบ ปลาทูทอด เกรียมๆ อร่อยมาก นะแม่"

คืนต่อมา ผมเก็บคำถามไว้ในใจก่อนนอน และถามพ่อว่า "พ่อชอบปลาทูทอด เกรียมๆ จริงๆ เหรอ" พ่อลูบหัวผม และตอบว่า
"แม่ของลูก ทำงานหนัก มาทั้งวัน...ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใครแต่คำพูด ที่ต่อว่า กันนั้นต่างหาก ที่จะทำร้ายกัน"

"ชีวิตคนเราเต็มไปด้วย ความไม่สมบูรณ์แบบ และแต่ละคน ก็ ไม่ได้เกิดมา สมบูรณ์แบบ ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไร ดีกว่าใครๆ"

แต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้มาในช่วงชีวิต ก็คือ...การเรียนรู้ ที่จะยอมรับ ความผิดพลาดของคนอื่น และของตัวเอง การเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาชีวิตครอบครัว ที่มีความสุข และยืนยาว


“ชีวิตเรานั้น สั้นเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับ ความเสียใจที่ว่า เราทำผิดกับคนที่เรารักและรักเรา ให้ดูแล และทะนุถนอม คนที่รักเรา และพยายามเข้าใจ และให้อภัย จะดีกว่า"


“ถ้าเรารู้ เราจะ ทำไหม”

• เราจะบีบแตร ใส่คนที่ ยืนยึกยัก ริมถนน ตรงแยกที่ผ่านมาไม๊– ถ้าเรารู้ว่า เค้าใส่ขาเทียม

• เราจะเบียดชน คนข้างหน้า ที่เดินช้ามากไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า เค้าเพิ่งตกงาน

• เราจะขำ คนที่ แต่งตัวเชยไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า เค้ามีชุดเก่ง แค่ชุดเดียว

• เราจะรำคาญ สาวโรงงาน ที่มาเดิน พารากอนไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า นั่นคือการฉลองวันเกิดของเธอ

• เราจะหมั่นไส้ ลุงที่หัวเราะ เสียงดังลั่น คนนั้นไม๊ – ถ้ารู้ว่า แกเป็นมะเร็ง ขั้นสุดท้าย

• เรารู้แจ่มชัดเสมอ…ว่าชีวิตเรา กำลังเจออะไรแต่เรา ไม่มีวันรู้ว่า "คนที่เราเจอ – กำลังเจอ กับอะไร"

โลก กว้างกว่าเงาของเรา และโลก ก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา มองข้าม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง ให้โอกาส และให้อภัย มีความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน จะได้รัก และอยู่ด้วยกัน อย่างยั่งยืนยาวนาน”


จากเรื่องราวที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผู้เขียนสรุปออกมาเป็น “กฎทองของชีวิต” ซึ่งเมื่อใครนำไปปฏิบัติแล้วจะทำให้เป็นคนที่กลายเป็น “แหล่งพลังงงานทางบวก”

สำหรับคนที่อยู่ข้างหน้าเสมอ นั่นก็คือ

๑.หัดมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสียบ้าง อย่าจริงจังกับทุกเรื่อง จนความสัมพันธ์กับคนรอบข้างตึงเครียดไปหมด

๒.ไม่มีใครที่ทำอะไรได้สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด จงให้อภัยในความผิดพลาดของคนอื่นเหมือนกับที่เราชอบให้อภัยแก่ตัวเอง

๓.สิ่งใดที่เราไม่ชอบ ก็จงอย่ามอบสิ่งนั้นแก่คนอื่น สิ่งใดที่เราชอบ ก็จงมอบสิ่งนั้นแก่คนอื่น

๔.อย่ารำคาญความปรารถนาดีเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่นที่พยายามแสดงออกต่อเราด้วยความจริงใจ

๕.เรารักสุขเกลียดทุกข์และกลัวความตาย ฉันใด คนอื่น ก็รักสุข เกลียดทุกข์ และกลัวความตาย ฉันนั้น
เอาใจเขามาใส่ใจเรา (อตฺตานํ อุปมํ กเร)

อย่างนี้แล้วจึงไม่ควรฆ่าใคร ไม่ควรสั่งใครให้ไปฆ่า


บทความโดย ว.วชิรเมธี (๒๖ เมษายน ๒๕๖๔)

หมายเหตุ : สืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิดระลอกที่ ๓ ในประเทศไทย กำลังเลวร้ายมาก หลายฝ่ายต่างต้องการกำลังใจ พระเมธีวชิโรดม หรือ ท่านว.วชิรเมธีจึงเขียนบทความเพื่อให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล สาธารณสุขและแก่คนไทยทั้งประเทศ (กรุณาช่วยส่งต่อกันและกันเพื่อสร้างพลังบวกให้แก่คนไทยให้เยอะที่สุดและกว้างขวางที่สุด)



กำลังโหลดความคิดเห็น