องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก เผยรายงาน “มัจจุราชเชื้อดื้อยาแฝงในแหล่งน้ำใกล้ตัวคุณ” หรือ “Silent superbugs killers in a river near you” พบเชื้อดื้อยาที่มีอันตรายต่อสุขภาพของคนอย่างรุนแรง ใน 4 ประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา สเปน และไทย ระบุเชื้อดื้อยาเหล่านี้มีต้นตอมาจากน้ำและของเสียที่ถูกปล่อยมาจากฟาร์มสัตว์อุตสาหกรรม ปนเปื้อนในแหล่งน้ำสาธารณะและสิ่งแวดล้อมรอบฟาร์มอุตสาหกรรม ชี้อาจสร้างผลเสียอย่างรุนแรงในวงกว้าง หากยังไม่เร่งแก้ไข
รายงานชิ้นนี้ ทำการสำรวจแหล่งน้ำรอบๆ ฟาร์มหมูอุตสาหกรรมใน 4 ประเทศ พบเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะเป็นจำนวนมาก โดยในประเทศไทยพบเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะชนิดรุนแรง ได้แก่ colistin plus co-trimoxazole, gentamicin, amikacin, trimethoprim-sulfamethoxazole หรือ amoxicillin ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากยาปฏิชีวนะกลุ่มนี้เปรียบเสมือนปราการด่านสุดท้ายที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อทั่วไปและผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อชีวิตจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ในกรณีที่ยาปฏิชีวนะชนิดอื่นใช้ไม่ได้ผล
การเกิดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะในฟาร์มอุตสาหกรรม มีสาเหตุหลักมาจากการเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีสวัสดิภาพ เนื่องจากสัตว์ในระบบฟาร์มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ถูกขังอยู่ในกรงอย่างทุกข์ทรมาน เช่น แม่หมูถูกขังอยู่ในกรงแคบๆ หรือลูกหมูโดนตัดตอนอวัยวะอย่างโหดร้าย สร้างความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก รวมถึงลูกหมูถูกแยกจากแม่ตั้งแต่ยังเล็ก เป็นต้นวิธีการเหล่านี้ก่อให้เกิดความทรมานอย่างมาก ซึ่งนำไปสู่การใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมหาศาลเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ที่เต็มไปด้วยความเครียดเหล่านี้เจ็บป่วย
ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มระบบอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ทางองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงรณรงค์ “การห้ามใช้ยาปฏิชีวนะในการป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มในสัตว์ฟาร์ม” ซึ่งก่อให้เกิดเชื้อดื้อยาและปนเปื้อนไปยังสิ่งแวดล้อม
วิกฤติเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ หรือซุปเปอร์บั๊กส์ (Superbugs) ได้สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงไม่ต่างจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 โดยปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตจากซุปเปอร์บั๊กส์ไปแล้วกว่าปีละ 700,000 คน สำหรับประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 38,000 คน หรือทุกๆ 15 นาที จะมีผู้เสียชีวิต 1 คน และมีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อซุปเปอร์บั๊กส์สูงถึงปีละ 10 ล้านคนในปีพ.ศ. 2593
แม้ว่าองค์การอนามัยโลกได้เสนอแนะว่า ยาปฏิชีวนะไม่ควรถูกใช้เพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มในสัตว์ฟาร์ม แต่อย่างไรก็ตามวิธีการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มอย่างโหดร้ายทำให้ยาปฏิชีวนะถูกนำมาใช้มากถึง 75% ทั่วโลก
ในประเทศไทย ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่หยุดแค่เพียงสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรม แต่ยังกระทบต่อชาวบ้านที่อาศัยใกล้แหล่งฟาร์มอุตสาหกรรมอีกด้วย โดยคำบอกเล่าจากเกษตรกรรายหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวถึงผลกระทบว่า “ข้าวในไร่ไม่ค่อยได้ผลผลิต เพราะในน้ำมีสารเคมีหรือขี้หมูเยอะ เมื่อปล่อยน้ำที่มีสารปนเปื้อนลงมาในนา ทำให้ข้าวที่ปลูกอยู่ได้รับความเสียหายหรือไม่ก็ตาย เพราะมีสารพิษในระบบนิเวศ ปลาก็แทบอยู่ไม่ได้เพราะน้้ำมีค่าความเค็มสูง และเคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ทางด้านสหภาพยุโรป มีการประกาศว่า การใช้ยาปฎิชีวนะแบบรวมกลุ่มเป็นเรื่องผิดกฎหมาย โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2565 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นกฎหมายสำคัญ และประเทศอื่นสมควรปฏิบัติตามด้วยเช่นเดียวกัน องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐออกนโยบายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มในสัตว์ฟาร์ม ตลอดจนให้ฟาร์มในระบบอุตสาหกรรมพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ตามมาตรฐานขั้นต่ำของการเลี้ยงสัตว์ฟาร์ม (FARMS) ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
สำหรับแนวทางแก้ไขวิกฤตเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะในภาคปศุสัตว์ของประเทศไทย นายโชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการแคมเปญสัตว์ฟาร์ม องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ว่าในประเทศไทยจะมีการจัดตั้งแผนยุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคปศุสัตว์ แต่น่าเสียดายที่การพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรมยังไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มยังมีความจำเป็น โดยเฉพาะการใช้เพื่อรักษาสัตว์ที่ป่วยแบบรายตัว แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุดคือการห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่ม ซึ่งมีต้นตอจากสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มที่ย่ำแย่”
๐ 4 ขัอมูลน่ารู้เรื่องเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ
1. เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ หรือซุปเปอร์บั๊กส์ คือเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะที่ถูกกล่าวว่าเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อสุขภาพของคนและการพัฒนาทั่วโลก การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นจำนวนมากนำไปสู่การก่อให้เกิดซุปเปอร์บั๊กส์ที่สร้างผลกระทบต่อคนหลายล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่กำลังพัฒนาในปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตปีละกว่า 700,000 คนจากอาการติดเชื้อ และอาจจะนำไปสู่จำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึงปีละกว่า 10 ล้านคน ภายในปี พ.ศ.2593
2. โครงการด้านสิ่งแวดล้อมขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่ามีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อปกปิดการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม อย่างไร้สวัสดิภาพ รวมถึงเรียกร้องให้หยุดวิธีการด้านเกษตรกรรมทุกชนิดที่ไม่ยั่งยืนและส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่ยั่งยืนในระบบเกษตรกรรม
3.จากผลสำรวจขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกในปี พ.ศ. 2563 จาก 15 ประเทศพบว่า 88% ของประชาชนมีความกังวล ต่อภัยซุปเปอร์บั๊กส์จากสัตว์ฟาร์ม และอยากเห็นการปฏิบัติต่อสัตว์ที่ดี และ 2 ใน 3 ของผู้สำรวจต้องการร่วมทดสอบการการปนเปื้อนจากฟาร์ม เพื่อให้ผู้ผลิตรายใหญ่แสดงความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากขึ้น
4. ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานระดับสากลที่รับรองความปลอดภัยของประชาชนจากการปนเปื้อนของเชื้อซุปเปอร์บั๊กส์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงยังไม่มีหน่วยงานใดแสดงความรับผิดชอบในการตรวจสอบการปล่อยยาปฏิชีวนะหรือซุปเปอร์บั๊กส์จากฟาร์มสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
๐ ผลการทดสอบที่สำคัญใน 4 ประเทศ
1.แคนาดา ผลการทดสอบพบยีนดื้อยาต่อ tetracycline, streptomycin, cephalosporins, fluoroquinolones และ macrolides บนผิวน้ำและตะกอนดิน
2.สเปน ผลการทดสอบพบยีนดื้อยาต่อ tetracycline, sulfonamides, cephalosporins และ fluoroquinolones. พบยีนดื้อยาที่ผิวน้ำในตัวอย่างที่ทดสอบสูงกว่าระดับมาตรฐานถึง 200 เท่า และพบค่ายีนดื้อยาในระดับที่สูงมากในตัวอย่างฝุ่นที่เก็บรอบๆฟาร์ม รวมถึงผลทดสอบตัวอย่างน้ำใต้ดินใกล้ฟาร์ม ก็มีค่ายีนดื้อยาในระดับสูงเช่นกัน
3.ไทย ผลการทดสอบพบยีนดื้อยาและเชื้อแบคทีเรียดื้อยาต่อ third generation cephalosporins, fluroquinolones, หรือ colistin plus co-trimoxazole, gentamicin, amikacin, trimethoprim-sulfamethoxazole หรือ amoxicillin.
4.สหรัฐอเมริกา ผลการทดสอบน้ำและตะกอนดินพบหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงยีนดื้อยาที่ออกฤทธิ์ ต่อต้านยากลุ่ม streptomycin, fluoroquinolones, cephalosporins, macrolides และในกลุ่ม tetracycline
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย ขอเชิญชวนลงชื่อเพื่อร่วมผลักดันให้ภาครัฐและเอกชนมีนโยบายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มในสัตว์ฟาร์ม รวมถึงยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ฟาร์มที่คำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์ ได้ที่ https://www.worldanimalprotection.or.th/Ban-AMR