xs
xsm
sm
md
lg

ดับไฟป่า หน้าที่ใคร! / วีระศักดิ์ โควสุรัตน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในการเข้าพื้นที่ติดตามปัญหาจากฝุ่นควัน คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภาได้ไปเยี่ยมพบกับทีมหน้างานไฟป่า ทั้งของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ ''ทีมเหยี่ยวไฟ'' อันเป็นหน่วยพิเศษของกรมป่าไม้

คนละกรมนะครับ ใครที่ไม่คุ้นระบบราชการ มักจะนึกว่าคือกรมเดียวกัน เพราะสมัยก่อนทั้งสองหน่วยนี้คือกรมเดียวกัน สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่พอมีการปรับปรุงกระทรวง ทบวงกรม ตั้งกระทรวงใหม่ๆขึ้นมาในปี 2545 งานด้านอนุรักษ์ป่า ดูแลอุทยานแห่งชาติ คุ้มครองสัตว์ป่าก็ถูกโยกออกมา แยกจากกรมป่าไม้เพื่อตั้งเป็นกรมใหม่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ

ทิ้งกรมป่าไม้ไว้ที่กระทรวงเกษตรต่อไป ต่อมาจึงโอนกรมป่าไม้ตามไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่สามารถรวม สองกรมกลับสู่ร่างเดียว กลายเป็นว่ากรมนึงดูป่าด้วยความมุ่งหมายเพื่อเน้นจะก้าวไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อีกกรมดูป่าด้วยความมุ่งหมายให้เน้นสงวนรักษาระบบนิเวศ

กลับมาพูดเรื่องไฟป่า การเดินทางของคณะกรรมาธิการฯ ของวุฒิสภาไปลำปางหนนี้ ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าคิด ซึ่งต้องพกกลับมาตั้งวงวิเคราะห์กันต่อ ก่อนจะผลิตเป็นรายงานเสนอต่อวุฒิสภาได้

เราได้ประจักษ์ว่าไฟที่เผากันอยู่ในภาคเหนือของไทยนั้น ส่วนมากจะเกิดในเขตของกรมป่าไม้ เพราะประเทศไทยมีพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้มากกว่าพื้นที่ของกรมอุทยานมาก

บางจังหวัด เป็นพื้นที่ป่าตั้งเกิน 70% เช่น ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน ระนอง นี่แค่ยกตัวอย่าง

เฉพาะที่ลำปางจังหวัดเดียว มีป่าสงวนแห่งชาติ 33 ป่า!! กินพื้นที่ 5 ล้าน 3 แสนไร่ อันนี้คือเขตของกรมป่าไม้ 


ที่ลำปางมีอุทยานแห่งชาติ อีกต่างหาก 7 แห่ง คืออีก 3 ล้านไร่ มีวนอุทยาน 1 แห่ง 3 แสนไร่ และมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 1 แห่ง หมื่นแปดพันไร่ ก้อนหลังนี้คือ เขตกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช แต่ลำปางมีพื้นที่เพาะปลูก 1.1ล้านไร่ คิดเป็นราวๆ ไม่ถึง 15%ของพื้นที่จังหวัดลำปาง

ดังนั้น ไฟที่เกิดขึ้นจากการจุด จึงปรากฏบนแผนที่ในส่วนของป่าไม้เป็นหลัก ส่วนจะเป็นป่าของกรมป่าไม้ หรือป่าของกรมอุทยาน ก็ค่อยมาว่ากัน

เพื่อประโยชน์ของความเข้าใจ มักมีคนสงสัยว่า วนอุทยาน ต่างยังไงกับอุทยานแห่งชาติ ซึ่งทางกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเคยอธิบายไว้ว่า

วนอุทยานคือ พื้นที่ที่มีทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม เช่นถ้ำ น้ำตก หาดทราย โดยทำการปรับปรุง ตกแต่งสถานที่ให้เหมาะสมในการพักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชน เป็นสถานที่ซึ่งไม่อยู่ห่างไกลจากชุมชนนัก สะดวกแก่การเดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจ

ส่วน อุทยานแห่งชาติ นั้น คือพื้นที่สงวนไว้เพื่อคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้และสัตว์ป่า ตลอดจนทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม สงวนไว้เพื่อให้คงสภาพธรรมชาติดั้งเดิม เพื่อรักษาสมบัติทางธรรมชาติให้อนุชนรุ่นหลังๆได้ชมและศึกษาค้นคว้า

วนอุทยาน จัดตั้งกันโดยออกประกาศกรมก็พอแล้ว แต่จะตั้งอุทยานแห่งชาติต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา วนอุทยานจะประกาศเขตได้ตั้งแต่ ขนาดพื้นที่ 500-5 พันไร่ แต่อุทยานแห่งชาติจะประกาศจัดตั้งต้องมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 6,250 ไร่ หรือคือ 10 ตารางกิโลเมตรขึ้นไป เข้าวนอุทยานจะไม่มีการเสียค่าเข้าชม แต่ถ้าเป็นอุทยานแห่งชาติจะต้องเสียค่าเข้าพื้นที่ไปชม

เอาล่ะ ปูฐานให้พอควรแล้ว ทีนี้ก็กลับมาเรื่องไฟป่า

อย่างไรก็ตาม นับแต่พ.ศ.2545 เป็นต้นมา การควบคุมไฟป่า ได้ถูกจัดเป็นภารกิจถ่ายโอนออกจากกรมป่าไม้ ไปสู่เทศบาลและอบต.ให้กรมป่าไม้เหลือแต่ภารกิจสนับสนุนด้านวิชาการไฟป่าให้แก่การดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนะครับ!!

ส่วนนับแต่ พ.ศ.2546 เป็นต้นมา งานของกรมควบคุมมลพิษ ด้านงานตรวจสอบคุณภาพอากาศ ก็ให้ถ่ายโอนไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งงานตรวจสอบมลพิษทางอากาศ ทั้งในพื้นที่ที่มีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ และพื้นที่ที่ไม่มีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศตั้งอยู่ รวมทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงด้านปัญหามลพิษทางอากาศ

ตลอดทั้งการดำเนินการตามกฏหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ด้านการควบคุมมลพิษ ก็ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถ ''ซื้อ'' บริการจากภาคเอกชนหรือหน่วยงานอื่นที่มีศักยภาพในการดำเนินการตามกรอบและวิธีการที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด

โดยจะต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลของเครือข่ายการตรวจวัดคุณภาพอากาศที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งเป็นผู้ดำเนินการมายัง ศูนย์รวบรวมข้อมูลระดับประเทศ ที่กรมควบคุมมลพิษ โดยกรมควบคุมมลพิษจะเป็นผู้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานการตรวจวัด การเชื่อมโยงข้อมูล และระบบการตรวจสอบที่ถูกต้อง

ดังนั้น งบประมาณของกรมป่าไม้ในเรื่องไฟป่าจึงเหลือเพียงสำหรับทำงาน ''วิชาการไฟป่า และการถ่ายทอดความรู้'' นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ภารกิจควบคุมไฟป่า มีข้อขลุกขลัก มานาน คนทำงานระบบจึงอาจรวมตัวกันไม่ค่อยติด

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็กๆ อย่าว่าแต่ไม่มีงบจัดหาอุปกรณ์ทันสมัย หรือจัดหารถดับเพลิงรถขนน้ำเลย แม้แต่งบดำเนินการ ''ดับ'' ไฟป่าก็แทบจะไม่มี เพราะถ้า อบต.นั้นไม่ค่อยมีรายได้ เป็นชิ้นเป็นอัน
แต่ไฟป่านี่เกิดบ่อย ขยายตัวไว แถมอันตรายมากในการเข้าไปควบคุม

รวมทั้งภารกิจนี้ ไม่ได้ให้อำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจะเข้าไปทำอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ในป่า ไม่ว่าจะเป็นป่าของกรมป่าไม้หรือป่าของกรมอุทยานนี่ครับ ถ้าว่าตามตัวบทกฏหมาย ยังไงก็ต้องขออนุญาตก่อนเสมอ

ส่วนการปฏิบัติอยู่หน้างาน ทราบว่าก็เอื้อเฟื้อกันดีอยู่ เพราะอยากให้ไฟดับ

เงินท้องถิ่นของพื้นที่กลุ่มชายป่ามักไม่ค่อยมี เพราะนักท่องเที่ยวอยากเข้าป่ายังถูกกำหนดให้ต้องเข้าตามด่านตามสถานีที่ทำการของเจ้าหน้าที่รักษาป่าทั้งนั้น ในขณะที่ความรู้เรื่องวิชาการไฟป่าก็มีความซับซ้อน ทักษะเข้าผจญไฟและความร้อนไม่ใช่เรื่องที่ฝึกได้ง่าย เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยก็มีราคาสูง พื้นที่อยู่ไกลจากระบบสนับสนุน จุดเกิดไฟมักเป็นจุดสูงชัน เข้าถึงยาก ขาดแหล่งน้ำใกล้เคียงให้ใช้ และการดับไฟต้องทำได้ทั้งกลางคืนกลางวัน แปลว่าระบบส่องสว่าง ระบบเสบียง ระบบการรักษาพยาบาลทั้งต่อระบบทางเดินหายใจ และการดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บในป่าลึก การส่งกลับผู้บาดเจ็บ การจัดงบค่าตอบแทนผู้ควบคุมเพลิง ต้องมีเพียงพอ

แบบนี้คงไม่ต้องจินตนาการมากนัก ว่าแล้วที่ผ่านๆ มาหลายๆ สิบปี

กรมป่าไม้และองค์กรท้องถิ่นริมป่าทั่วประเทศ ใช้อะไร สู้และควบคุมไฟป่า
คำตอบคือ... ใช้ใจและประสบการณ์ป่ากันล้วนๆ...ขอรับ

มาภายหลังจึงมีสมาคม มูลนิธิ และภาคเอกชนที่เขาเห็นปัญหาแล้วจึงช่วยกันระดมเงินทุนเข้าช่วยเหลือ เพราะระบบงบประมาณราชการไม่ได้มีให้ตรงๆ แล้ว

ต้องขอบคุณกลุ่มเอกชนที่อยากเห็น ''ป่าเปียก'' ตามพระราชดำริ ร.9 ที่เข้าช่วยใส่งบ ใส่แรง และใส่ใจ ให้คนหน้างาน พอได้มีอุปกรณ์ดีๆไว้ทำงานเสี่ยงภัย เช่น เครื่องเป่าลม ซึ่งจะทำงานได้ดีและเร็วกว่าการใช้คราดใช้ไม้กวาดกวาดใบไม้ที่พื้นป่าให้แหวกออก เครื่องดูดลม ที่ช่วยดูดเก็บใบไม้ให้เข้าถุงเพื่อนำออกจากพื้นที่ที่ไฟจะลามมาหา

จะได้จัดซื้อโดรนขึ้นบินตรวจตรา ค้นหาจุดเกิดไฟ มีแสงส่องสว่างเพื่อให้ตำแหน่งแก่คนภาคพื้น มีลำโพงประกาศบอกกล่าวให้คนข้างล่างรู้เรื่อง

จะได้มีเงินไว้ซื้อแผ่นไวนิลหนาๆไปใส่ในเวียนไม้ไผ่ เพื่อทำเสวียนน้ำบนเขาที่แห้งแล้ง จะได้พอมีน้ำไว้เติมเวลาจำเป็น หรือจะได้มีเงินสั่งทำอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการอัดใบไม้ให้เป็นก้อน เพื่อขนออกไปทำประโยชน์
หรือมีเงินจัดหาวิทยุสื่อสาร และอุปกรณ์บอกพิกัดจีพีเอสกับดาวเทียมเพื่อให้ติดตามหาเจ้าหน้าที่ที่ถูกไฟป่า ต้อนไล่พลัดกลุ่มออกไปได้แม่นยำ มีหน้ากากกันแก้สอันตราย มีถังอากาศใช้ในยามฉุกเฉิน มีเป้น้ำดื่มติดหลังสำหรับบุกลุยนานๆกลางไอเพลิงที่ร้อนระอุ มีเข็มขัดสนามที่สามารถร้อยเชือกที่ห่วงเพื่อการโรยตัวได้ทันควัน
สาธยายได้อีกแยะครับ.....


ควันไฟป่านั้น คนเมืองในอดีตไม่ค่อยรู้สึกเดือดร้อนเท่าไหร่ อย่างมากก็กวนตากวนใจที่รู้ว่าป่าวอดวายไปอย่างน่าเสียดาย

ต่อมาก็ชักหดหู่ใจจากภาพเกรียมดำเป็นตอตะโกของสัตว์ป่าที่ต้องมาตายอย่างน่าสังเวช แล้วมาภายหลังไม่กี่ปีนี้ที่คนเมืองได้สัมผัสกับควันที่ลอยมาปกคลุมเมืองภูมิภาคกันตรงๆและนานๆ แล้วต่อมาเมืองหลวงเมืองใหญ่ทั้งหลายก็หนีไม่พ้นจากสารพัดสะสมของควันจากสารพัดแหล่งและได้กลายมาเป็นปัญหาระดับชาติที่รับกันไว้โดยถ้วนหน้า แถมมีสถิติที่ติดอันดับโลกเสียด้วย !!

ที่ผ่านๆ มา กรมป่าไม้จึงสร้างหน่วยเล็กๆแบบหน่วยคอมมานโดที่สร้างคนฝึกคนที่มีทั้งที่เป็นข้าราชการ เป็นลูกจ้าง เป็นอัตราจ้าง เป็นจ้างรายปี ให้มารวมกำลังเป็นหน่วย ''เหยี่ยวไฟ'' ซึ่งรวมกันหลงจ้งทั้งประเทศมีอยู่แค่ ราว 200 คน!! เงินน้อยก็ต้องสู้แบบเงินน้อยไงครับ

โดยปรับให้เป็นหน่วยเดินทางเร็ว และบุกเข้าลึก ไต่เขาขึ้นที่สูงต้องเป็น และแน่นอน ต้องใช้เชือกโรยตัวออกจากที่สูงได้เร็วและสามารถทำงานทั้งกลางวันกลางคืนได้ พักค้างแรมในป่าเพื่อทำงานสลับกันพักผ่อนได้
เพราะไฟป่านั้น เร็ว แรง เปลี่ยนทิศได้ปุปปัป

แถมฤดูระวังไฟป่าของไทยนั้นไม่ใช่สั้นๆ นะครับ ทันทีที่หมดฝนไปเพียงสองเดือน ป่าไทยจะแห้งติดไฟได้ง่าย
งานของเหยี่ยวไฟจึงเริ่มตั้งแต่ตุลาคมของปี ยาวตลอดช่วงแล้งไปจนถึงพฤษภาคมของทุกปี ก่อนที่หน้าฝนจะทำหน้าที่ตามธรรมชาติของฤดูกาล

งานของเหยี่ยวไฟจึงจะหมดภารกิจกระจายช่วยอยู่กับชุมชนในภาคเหนือ แล้วทุกคนจะมุ่งลงภาคใต้เพราะฤดูไฟป่าในพรุ ที่พรุควนเคร็งและพรุอื่นๆ ในนครศรีธรรมราชและนราธิวาสจะเริ่มพอดี

ไฟในป่าพรุนั้นยิ่งอันตรายและควบคุมยาก เพราะไฟในพรุที่น้ำแห้งลงนั้นจะทำให้เกิดโพรงอากาศจำนวนมากใต้ดิน และไม้สำคัญในป่าพรุมักเป็นไม้โกงกางซึ่งให้ค่าความร้อนสูง จะทำให้ไฟที่ติดในพรุทั้งร้อนแรงและดับยาก แถมตาเปล่าจะมองไม่เห็นเปลวไฟ เพราะไฟอยู่ในชั้นข้างใต้ระดับผิวพื้น รวมทั้งความร้อนและควันจะระอุพวยพุ่งออกมารบกวนตลอดเวลา

ถ้าถามผมว่าทำไมจึงรู้เรื่องนี้ลงรายละเอียดได้ ก็เพราะคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภาเรา ตามไปเยี่ยมถึงฐานใหญ่ของการควบคุมปฏิบัติการ อันเป็นรังใหญ่ของหน่วย ''เหยี่ยวไฟ'' ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดลำปาง นี่แหละครับ คณะกรรมาธิการจึงได้รับฟังและซักไซ้ไต่ถามกันได้เต็มที่

นอกจากเหยี่ยวไฟของกรมป่าไม้แล้ว ถ้าเข้าไปในสนามจริงเวลาเผชิญไฟ เราจะเจอหน่วย ''เสือไฟ'' ของกรมอุทยานฯและเจอชาวบ้านและฝ่ายราชการพลเรือน ทหารและท้องถิ่นในการร่วมเคียงกันและแบ่งบทสู้กับไฟป่า ตามระดับความยากของพื้นที่

บทความนี้จึงขอส่งท้ายให้ได้คิด ว่าเราไม่อยากให้มีไฟป่าหรอก แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้อย่างเข้าใจอย่างน้อยอีกสามอย่างคือ
คิดถึงการสนับสนุนคนหน้างานที่ต้องเสี่ยงชีวิต

คิดถึงการบัญชาการของพื้นที่ๆอุดมไปด้วยดราม่า และความซับซ้อนของสังคม และคิดถึงพลังชุมชนที่จะป้องกันตนเองและยังสามารถช่วยดับไฟในมือคนจุด

ปลดลดอุปสรรคของกฏหมายและระเบียบราชการให้ได้มากๆ สร้างการร่วมมือ ที่เสมอหน้า เสมอใจ ได้แนวร่วมที่แท้จริง และมองให้เห็นปัญหาของไฟป่า ''ที่คน มากกว่าที่ควัน....''

บทความโดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา


กำลังโหลดความคิดเห็น