Ninja Van ประเทศไทย มองข้ามเรื่องเพศ โดยการให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการมองที่ผลลัพธ์และความสามารถในการทำงานของพนักงาน
บทบาทหน้าที่ การทำงานของผู้คน รวมถึงสภาพแวดล้อมของสถานที่ในการทำงานได้ก้าวเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลงไปในอีกระดับ จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้รวมถึงจำนวนที่เพิ่มขึ้นของบริษัทรายใหม่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (high-tech startup) และจำนวนพนักงานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ต้องการสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ซึ่งวิกฤติการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันของคนทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเช่นกัน และส่งผลกระทบต่อรูปแบบการทำงานของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานนอกสถานที่ (remote working) หรือที่ออฟฟิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการบริหารธุรกิจเพื่อการบริการลูกค้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือ ผลลัพธ์ของงานและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานมากกว่า
ปัจจุบันผู้คนเปิดกว้างและยอมรับในความหลากหลายของสถานที่ในการทำงาน การเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทด้านการบริหารธุรกิจก็มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้คนยุคใหม่ได้มองข้ามประเด็นทัศนคติแบบเหมารวมทางเพศ (gender stereotype) เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือผลงาน ไม่ใช่ว่าคุณเป็นใครหรือเพศอะไร
เราอาจมองได้ว่านี่คือยุคแห่งความเสมอภาคทางเพศในที่ทำงาน แต่ความจริงแล้วผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในแวดวงธุรกิจไทยมาเนิ่นนาน ความแตกต่างที่สำคัญในตอนนี้คืออุปสรรคสู่ความสำเร็จ และการทำธุรกิจร่วมกันมักเอื้อประโยชน์กับผู้หญิงมากกว่า
สิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรมที่ปลูกฝังในองค์กร Ninja Van (นินาจา แวน) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน บริษัทมีจำนวนพนักงานที่เป็นผู้หญิงประจำสาขาในประเทศไทยถึง 60% และดำรงตำแหน่งระดับสูงอีก 40% แสดงให้เห็นว่าการวัดคุณค่าของพนักงานนั้นไม่ได้มองว่าพนักงานจะเป็นเพศใด แต่ต้องดูที่ความสามารถในการทำงาน การแก้ปัญหาต่างๆ การตัดสินใจ และการเป็นผู้นำที่ดีของทีม นี่จึงทำให้ Ninja Van เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ของงาน มากกว่าสิ่งอื่นใด
โดยจากที่ ฐานิตา อุปรานุเคราะห์ Head of Partnerships ของ Ninja Van เข้ามาทำงานที่บริษัทช่วงกลางปี 2561 เธอได้กล่าวว่า “สิ่งที่ดิฉันได้พัฒนาและเรียนรู้จากการที่ได้มาทำงานกับ Ninja Van คือ เสียงของทุกคนมีค่าเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ความคิดนี้ผลักดันให้ดิฉันประสบความสำเร็จ ตลอดเวลาที่ดิฉันทำงานที่ Ninja Van ดิฉันได้รับโอกาสในการทำงานหลากหลายบทบาท และได้ทำงานในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เวียดนาม จีนและฟิลิปปินส์ซึ่งทุก ๆ ที่มีทัศนคติเดียวกัน คือ การรับฟัง การรับฟังความคิดของพนักงานทุกคนใน Ninja Van ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ดิฉันกลับคิดว่ามันช่วยให้ทุกคนมีความมั่นใจในการทำงานมากขึ้น ทำให้เรากล้าคิด กล้าเสนอความคิดเห็น”
นริศรา คงเจริญสุขยิ่ง Head of Commercial ไม่ได้ทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายการค้าด้านโลจิสติกส์ที่ Ninja Van เป็นที่แรก เธอเชื่อว่าบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องผลลัพธ์ของการทำงานมากกว่า แม้ว่าการทำงานในภาคส่วนนี้จะดูเหมือนเน้นผู้ชายเป็นหลัก ดังนั้น เรื่องเพศจึงไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน “การทำงานกับ Ninja Van สอนดิฉันว่าอย่าให้เพศจำกัดความสามารถในการทำงานของตัวเรา เรามีโอกาสมากมายที่จะเติบโตในหน้าที่การงาน นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันเป็นทีมก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เราเติบโตในหน้าที่การงานได้ ดังนั้น เรื่องเพศจึงไม่ได้จัดว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญของบริษัทเราเลย เพราะเราให้ความสำคัญกับเรื่องผลงานมากกว่า”
แม้ว่าจะมีโอกาสเติบโตในสายงาน แต่การย้ายไปทำงานในบริษัทที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันนั้นถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลยิ่งกว่าสำหรับบางคน ดวงกมล การีเพ็ชร์ Head of Operational Excellence ได้ใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจมาทำงานกับ Ninja Van เธอกล่าวว่า “มีเรื่องที่ท้าทายมากมายที่ดิฉันคิดว่าจะต้องได้เผชิญหากได้มาทำงานกับธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่าง Ninja Van ซึ่งมันทำให้ดิฉันกังวลเป็นอย่างมากในตอนแรก เมื่อได้มาทำงานกับ Ninja Van มันก็ไม่ได้กังวลอย่างที่คิด ทุกคนในทีมมีมุมมองและทัศนคติที่เปิดกว้างและมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งทำให้เรามีความก้าวหน้า ดิฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่และยังคงทำงานตามแบบเดิมและได้ผลลัพธ์ที่ดี”
นับตั้งแต่เปิดตัวในประเทศไทยในปี 2559 Ninja Van ได้ลงทุนในด้านเทคโนโลยี บุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของ E-Commerce ในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทให้บริการกลุ่มร้านค้าปลีกย่อยในประเทศไทยประมาณ 10,000 รายต่อวัน รวมถึงแพลตฟอร์ม E-Commerce ชั้นนำอย่าง Shopee และ Lazada และยังใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เพียซ เอิง Chief Operating Office ของ Ninja Van ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ว่าเราจะเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แต่อีกหนึ่งทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของเราก็คือบุคลากรที่มีคุณภาพ เราต้องการมอบสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีให้แก่พนักงาน เพื่อให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทเราในประเทศไทยและทั่วทั้งภูมิภาค เราประเมินพนักงานของเราโดยพิจารณาจากทักษะและประสบการณ์ของแต่ละบุคคลโดยไม่คำนึงถึงเพศหรือพื้นหลังของพวกเขา และเราเชื่อว่าพนักงานทุกคนสมควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทของเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้เราฝ่าฟันอุปสรรคในวันข้างหน้า และผลักดันให้เราประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ Ninja Van เป็นบริษัทโลจิสติกส์ที่ให้บริการจัดส่งพัสดุสำหรับธุรกิจทุกขนาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย Ninja Van เปิดตัวที่ประเทศสิงคโปร์ในปี 2557 และกลายเป็นบริษัทโลจิสจิกส์ที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ขณะนี้ Ninja Van ได้ขยายเครือข่ายครอบคลุมทั้งหมด 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไทย และ เวียดนาม