ทีมเศรษฐกิจ ปชป. ยันมีนโยบายต่อต้าน 3 สารพิษตั้งแต่ต้น พร้อมสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในประเทศ
เมื่อวานนี้ (7 ตุลาคม 2562) นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัยพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) แถลงว่า ปชป. สนับสนุนให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคและเกษตรกรมาโดยตลอด ปัจจัยที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรมคือ ในทีมเศรษฐกิจมีผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์คือนายนาวี นาควัชระ ร่วมอยู่ด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องสารเคมีอันตรายที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงกันเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ปชป. มีจุดยืนที่ชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้น ในการไม่สนับสนุนสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส และปัจจุบัน มีบริษัทที่ได้ทดลองสารทดแทนแล้ว 32 สาร ในขณะที่ยุโรปทดลองได้ถึง 1,000 สาร เนื่องจากสารที่จะนำมาทดแทนนั้นมีราคาแพงกว่าสารที่ใช้ในปัจจุบันสองเท่า ทางกระทรวงเกษตรจึงต้องรับไปพิจารณาว่าจะชดเชยหรือเยียวยาอย่างไรเพื่อจะมีการใช้สารเคมีน้อยลง
ล่าสุด ปชป. ได้พาคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท COOP (โค-อ๊อพ สหกรณ์รวม) จากยุโรปนำโดย นายเกอร์ฮาร์ด เซอร์ลูทเตอร์ (Gerhard Zurlutter) ที่สนับสนุนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์และมีกระบวนการทําให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในระยะกลาง และระยะยาว เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และทีมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง โดยผู้นำธุรกิจจากยุโรปชุดนี้ แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับประเทศไทยในการรับซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จากไทย และจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยไปสู่เกษตรอินทรีย์เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกรและเป็นการขยายตลาดไปยังต่างประเทศอีกด้วย
ด้านนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษร่วมกับอดีตผู้สมัคร ส.ส พรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดศรีสะเกษ รวมถึงอดีต ส.ส. และอดีตผู้สมัคร ส.ส. ภาคอีสานของพรรค เพื่อพบปะกับกลุ่ม Young Smart Farmer ที่ทำเรื่องเกษตรอินทรีย์เพื่อนำมาวางแผนและหาแนวทางในการช่วยเหลือภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจทันสมัย (New Economy) เนื่องจากเป็น 1 ในพื้นที่นำร่องในการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการ มีเกษตรกรที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์เป็นจำนวนมาก
การลงพื้นที่ของทีมนี้เพื่อช่วยผลักดันให้ศรีสะเกษเป็นเมืองเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการที่ต้องมีการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานตามที่ผู้บริโภคต้องการแล้ว ยังต้องช่วยเรื่องช่องทางการจำหน่าย โดยทีมเศรษฐกิจของพรรคมีแนวทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทั้งสองส่วน คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับสำหรับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ รวมถึงการหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากที่มีในปัจจุบัน เช่น โรงพยาบาล หรือกลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ โดยจะช่วยเจรจาหาช่องทางการค้าใหม่ รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อเป็นการขยายฐานการตลาดออกไปให้กว้างขึ้น และมีความตั้งใจจะใช้ศรีสะเกษโมเดล ขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ด้วย