บางคนยังมองแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวที่อยู่แค่เอื้อมมือ แต่ไม่มองออกไปในโลกกว้างว่า “ป่าชายเลน” สำคัญต่อชีวิตของสัตว์น้อยใหญ่หลากหลายชนิด เป็นแหล่งที่สามารถผลิตโอโซนได้ไม่อั้น เป็นผืนป่าที่ช่วยลดโลกร้อนที่โลกกำลังรณรงค์อย่างเร่งด่วน รวมถึงป่าชายเลนนั้นเชื่อมผืนน้ำให้เข้ากับแผ่นดินได้อย่างกลมกลืน ซึ่งถือเป็นคุณค่ามหาศาลต่อมวลมนุษยชาติ
ประเทศไทย ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ชายฝั่งทะเล ล้อมรอบด้วยป่าชายเลน จึงเป็นแหล่งอาหาร แหล่งเพาะพันธุ์และที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติสำหรับคนไทย เช่น ชาวประมง เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งและผู้ผลิตถ่านซึ่งได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศที่มีประสิทธิภาพ
แต่ข้อมูลป่าชายเลนของไทย เมื่อปี 2560 พบว่าเหลืออยู่เพียง 1,534,584.74 ไร่ ใน 24 จังหวัดที่มีป่าชายเลน ขณะที่แต่เดิมเคยมีถึงประมาณ 2.327 ล้านไร่ นั่นก็เพราะฝีมือมนุษย์ ใช้ธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองทำให้พื้นที่ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะช่วงหลังปี 2521 เป็นต้นมา ป่าชายเลนตกอยู่ในช่วงวิกฤติที่สุด ถูกทำลายจนกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม มีการบุกรุกโดยนายทุนเพื่อทำนากุ้ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ตระหนักถึงวิกฤติและเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ทั้งรณรงค์ร่วมมือกับภาคเอกชน และปลูกป่าทดแทนอย่างจริงจัง และป้องกันการบุกรุกของนายทุน
ซึ่งต่อมาระหว่างปี 2543-2555 อัตราการทำลายป่าชายเลนลดลงมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง ทช.ก็ไม่ประมาท เนื่องจากประเทศไทยคงเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสัตว์น้ำรายใหญ่ที่สุดของโลก และพื้นที่ป่าชายเลนที่เหลืออยู่ในพื้นที่เล็กๆ ในประเทศ จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองอย่างสุดความสามารถเพื่อลดผลกระทบทางลบที่จะมีในอนาคต
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จึงปฏิรูปการบริหารจัดการพื้นที่ป่าชายเลนใหม่ทั้งหมดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่จัดตั้งขึ้นมาในปี 2545 พร้อมกับมีกฎหมายเป็นของตัวเองคือ พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 จากเดิมที่ต้องใช้กฎหมายป่าสงวนฯ กับมติ ครม.ปี 2543 ในการจัดการกับผู้กระทำผิด
แม้จะมีกฎหมายคอยเล่นงานผู้บุกรุก แต่ทุกวันนี้ ก็ยังเห็นข่าวอยู่เป็นระยะ เมื่อ ทช.ใช้กฎหมายของตัวเองที่มีผลบังคับใช้แล้วในมาตรา 17 ให้สิทธิเจ้าหน้าที่ “รื้อถอน” สิ่งปลูกสร้างได้ทันที หากพบว่าบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนที่ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครอง และในมาตรา 23 สามารถประกาศพื้นที่ป่าชายเลนคุ้มครองได้เลย
“อาวุธ” ในมือ ทช.จึงสามารถ “ยึดคืน” ป่าชายเลนได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ขณะเดียวกัน ก็มีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนที่ยึดคืนมาได้ โดยจะดำเนินการใช้ลักษณะคล้ายๆ กับป่าชุมชน โดยจะทำเป็น ป่าชายเลนเพื่อการใช้สอย ป่าชายเลนเพื่อเศรษฐกิจ ป่าชายเลนพลังงาน เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้นแผนการปฏิรูปป่าชายเลน เน้นไปที่การจัดระเบียบการอนุญาตเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ต่อประเทศชาติ เช่น การท่องเที่ยว การประมงและกิจกรรมที่ต่อเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม เป็นต้น โดยต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ปัจจุบันการดำเนินการทั้งหมดเหมือนกับเป็นการจัดโซนนิ่งโซนป่าชายเลนอนุรักษ์ โซนป่าชุมชน โซนป่าเศรษฐกิจ โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลการสำรวจภาคสนามเป็นตัวกำหนด วิธีนี้จะช่วยให้ป่าชายเลนเกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์
ทั้งนี้ก็เพื่ออนาคต “ป่าชายเลนและทะเลไทย” จะได้เป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน