xs
xsm
sm
md
lg

มั่นใจไทยนิยมยั่งยืน ยกระดับเกษตรกร4.3ล.คน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สศก.มั่นใจยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรฯ ในโครงการไทยนิยมยั่งยืน เมื่อจบโปรเจ็กต์ในเดือนกันยายนนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ระบบเศรษฐกิจ 63,599 ล้านบาท ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร 4.3 ล้านคน ล่าสุดเกษตรกรร่วมยกระดับอาชีพแล้วกว่า 1.8 ล้านคน

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร และเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต ภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน ว่า การปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร แบ่งเป็น 5 กลุ่ม มีความคืบหน้าดังนี้ 1.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำระดับชุมชน มีการสร้างฝายชะลอน้ำแล้ว 824 แห่ง พัฒนาแหล่งน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และฟื้นฟูแหล่งน้ำชลประทานเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวม 193 รายการ

2.การปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อลดความเสี่ยง เช่น ลดพื้นที่ปลูกยางพารา และพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมใหม่แทนอาชีพสวนยาง มีพื้นที่สวนยางของเกษตรกร 11,559 ราย โค่นต้นยางแล้ว 61,500 ไร่ รวมทั้งฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้ในการประกอบอาชีพใหม่ทดแทนอาชีพสวนยางแล้วจำนวน 10,463 ราย โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมปลูกข้าวเพื่อผลิตสินค้าเกษตรอื่นๆ มีการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ 5,950 ไร่ อบรมความเข้าใจในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เหมาะสมในการปลูกข้าวให้แก่เกษตรกร 689 ราย

3.พัฒนาการผลิตพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ โดยสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น เครื่องเกี่ยวนวดข้าว ชุดปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ อุปกรณ์การแปรรูป รวม 24 เครื่อง/ชุด และพัฒนาเครือข่ายผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่เกษตรกร 1,049 ราย ขยายแม่พันธุ์ที่เลี้ยงเพื่อผลิตลูกจำหน่ายให้แก่เกษตรกร 20,069 ตัว อบรมการบริหารจัดการกลุ่มและวิทยาการเมล็ดพันธุ์ได้ 1,200 ราย
4.แก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร มีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ด้วยการจัดฝึกอบรม 1,620,571 ราย จัดทำแผนตามความต้องการของชุมชนและมีโครงการได้รับอนุมัติ รวม 4,833 โครงการชุมชน รับสมัครและคัดเลือกผู้ประกอบการรุ่นใหม่ Young Smart Farmer (YSF) จำนวน 3,623 ราย มีผู้ผ่านฝึกอบรม 2,739 ราย และบางหลักสูตรมีผู้เข้าฝึกอบรมเกินเป้าหมาย

และ5.บริหารจัดการสินค้าเกษตรและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และอุปกรณ์การรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรและแปรรูป ราว 157 สหกรณ์ เช่น โครงการเพิ่มศักยภาพและการแปรรูปยางพาราในสถาบันเกษตรกร 61 สหกรณ์ โดยจัดซื้อจัดจ้างแล้ว 136 รายการ เบิกจ่ายงบประมาณแล้ว 132 รายการ รับซื้อและส่งมอบยางตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานรัฐ รวม 3,952 ตัน นำยางพารามาใช้ซ่อมแซม และปรับปรุงถนนคันคลอง จำนวน 340 ตัน เป็นต้น นอกจากนั้น ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราจำนวน 371 แห่ง โดยมีวงเงินกู้สามารถสนับสนุนเกษตรกรได้อีกกว่า 8,500 ล้านบาท

หลังจากเริ่มโครงการฯ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคมนี้ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการการฝึกอบรมปรับเปลี่ยนอาชีพ กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพและรายได้ให้เกษตรกร เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกทางการเกษตร ไปจนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านแหล่งน้ำชลประทาน จำนวน 1,850,000 คน เพื่อช่วยแก้ปัญหาภาคเกษตร ยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร และพัฒนาภาคเกษตรสู่ความยั่งยืนต่อไป

โครงการไทยนิยมยั่งยืนดำเนินการระยะเวลา 4 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน2561 เป้าหมายเพื่อปฏิรูปโครงสร้างภาคการผลิต และเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต ขณะนี้โครงการมีความคืบหน้า โดยอยู่ระหว่างการผูกพันงบประมาณให้เสร็จในเดือนกันยายนนี้ จึงเชื่อว่าหากดำเนินโครงการนี้แล้วเสร็จ จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ระบบเศรษฐกิจ 63,599 ล้านบาท โดยจะสามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร 4.3 ล้านคน และทำให้เกษตรกรในภาพรวมทั้งประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้น 35,304 ล้านบาทต่อปี

ส่วนแผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตอบรมเพิ่มทักษะอาชีพแก่เกษตรกรผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐให้ได้รับความรู้และมีทักษะอาชีพด้านการเกษตรเพิ่มขึ้น มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 183,827 ราย โดยได้รับการอบรมแล้ว 130,821 ราย เกษตรกรและประชาชนมีรายได้จากการพัฒนาระบบชลประทาน 8,930 คน รายได้เฉลี่ย 12,716 บาทต่อคน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานโครงการโดยร่วมทำงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง สามารถดำเนินงานไปได้กว่า 80% แม้ว่าการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก จะดำเนินการไปได้ประมาณ 60% และการเบิกจ่ายงบประมาณยังไม่มากนัก แต่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ 14 หน่วยงาน ที่รับผิดชอบโครงการจะเร่งรัดดำเนินงาน โดยคาดว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณจะเบิกจ่ายได้ 74% เพื่อให้โครงการสัมฤทธิ์ผลเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรในทางตรงที่เกษตรกร จากการรับจ้างเป็นแรงงานและค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการอบรม รวมทั้งผลประโยชน์ทางอ้อมที่เกษตรกรจะได้รับจากการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทางการเกษตรต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น