xs
xsm
sm
md
lg

ส่งต่อองค์ความรู้เกษตรอินทรีย์ "สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง-สจล.-เชฟรอน"ชูต้นแบบอินทรีย์ผงาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง-สจล.-เชฟรอน ยก“บ้านสวนอิสรีย์เกษตรอินทรีย์” ต้นแบบ ถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรอินทรีย์ ชูวิถีเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เป็นแค่ทางเลือก แต่เป็นทางหลักของเกษตรกรไทย หนุนสร้างหลุมขนมครกในรูปแบบโคกหนองนา ลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง เก็บกักน้ำสร้างความชุ่มชื้นในฤดูฝน

บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และภาคีเครือข่าย สานต่อโครงการ “รวมพลังตามรอยพ่อฯ” ปี 6 ให้องค์ความรู้เกษตรอินทรีย์เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค พร้อมถ่ายทอดตัวอย่างความสำเร็จ “คนต้นแบบ” สร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วประเทศร่วมสานต่อศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น

“เอามื้อสามัคคี” หรือการลงแขกช่วยเหลือกันพัฒนาพื้นที่ต่างๆ เป็นกิจกรรมในโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” ปี 6 นับเป็นครั้งที่ 2 ของโครงการฯได้ชักชวนให้ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย ร่วมกันสร้างหลุมขนมครกในรูปแบบโคกหนองนา เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง เก็บกักน้ำสร้างความชุ่มชื้นในฤดูฝน และส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาคศาสนา และสื่อมวลชน

ทั้งนี้ กิจกรรมสร้างหลุมขนมครกครั้งนี้ ประกอบด้วย การขุดคลองไส้ไก่ การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง การบำรุงดิน ด้วยวิธี ห่มดินปุ๋ยแห้งชามปุ๋มน้ำชาม การปลูกหญ้าแฝก และมีกิจกรรมตลาดนัดความรู้ ได้แก่ ฐานฅนรักษ์แม่ธรณี สาธิตและลงมือทำสมุนไพร 7 รส การทำปุ๋ยแห้งชีวภาพ มีฐานฅนเอาถ่าน กำไรจากป่า สาธิตและลงมือเผาถ่านจากผลไม้ โดยคณะผู้บริหารที่มาร่วทงร่วมงานยังได้สาธิตวิธีการทำสารชีวภาพเพื่อการควบคุมแมลงศัตรูพืช และนำไปฉีดพ่นสวนผลไม้อินทรีย์อีกด้วย

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” สนับสนุนเกษตรกรให้พัฒนาปรับเปลี่ยนระบบการผลิตจากเดิมไปสู่การทำเกษตรกรรมยั่งยืน เช่น เกษตรธรรมชาติ เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรทฤษฎีใหม่ และเกษตรกรรมยั่งยืนรูปแบบอื่นๆ ภายใต้ชื่อกิจกรรมเอามื้อสามัคคี โดยมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนให้ได้ 5 ล้านไร่ ภายในปี 2564ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)

“จากการดำเนินงานต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมว่า คนที่นำแนวทางศาสตร์พระราชาไปปฏิบัตินั้นมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ สอดคล้องกับแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้เพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจพอเพียง ตามที่พระองค์ท่านทรงเน้นย้ำว่า ความยั่งยืน คือ ความเหมาะสม”
ในปีนี้เป็นปีสุดท้ายของระยะที่ 2 ของแผนหลัก 9 ปีของโครงการฯ ซึ่งจะเน้น “การแตกตัว” หรือการขยายผลในระดับทวีคูณเพื่อสร้างคน สร้างครู สร้างเครื่องมือยกระดับศูนย์เรียนรู้สู่การศึกษาตลอดชีวิต โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน

ด้านอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า “ใช้แนวคิด ‘แตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี’ คือการนำสิ่งที่เรียนรู้และความสำเร็จในการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไปถ่ายทอดให้แก่ประชาชนใน 4 พื้นที่ 3 ลุ่มน้ำที่มีสภาพภูมิสังคมที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างต้นแบบที่หลากหลาย และส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง โดยจะนำความสำเร็จนี้ไปเป็นแรงบันดาลใจสู่ของชุมชนอื่น ซึ่งมีเป้าหมายให้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เป็นแค่ทางเลือก แต่เป็นหนทางหลักของเกษตรกรไทย”

ธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษา รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้เลือก จ.จันทบุรี เป็นพื้นที่แรกในการทำเกษตรอินทรีย์เพราะเชื่อว่าคนจันท์กล้าคิด กล้าทำ กล้าลงทุน ถ้าที่นี่ทำเกษตรอินทรีย์ได้ คนที่อื่นๆ จะทำตาม และเปลี่ยนได้ทั้งประเทศ จึงอบรมและลงมือทำต่อเนื่อง จนรัฐบาลประกาศให้เกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเกษตรอินทรีย์แตกตัวไปทั่วประเทศ การทำพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในจ.จันทบุรี กลับมีเกษตรกรเพียง30 กว่ารายและมีพื้นที่แค่ 1,300 กว่าไร่เท่านั้น ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน PGS (Participatory Guarantee System) หรือ การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม คือเกษตรกรด้วยกันเองเป็นผู้ร่วมตรวจสอบ และเป็นการรับรองมาตรฐานของไทย โดยอิงระบบการรับรองตามมาตรฐาน IFOAM : International Federation of Organic Agriculture Movements ซึ่งมีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

การสร้างกระบวนการเรียนรู้และมีส่วนร่วมของเกษตรกร จึงมีความสำคัญต่อการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากเกษตรกรส่วนมากถึง 99.99% ยังคงใช้สารเคมีเป็นหลัก ในปีนี้ กลุ่ม PGS จ.จันทบุรี จึงกำหนดยุทธศาสตร์ ‘อินทรีย์ผงาด’ เฉพาะ จ.จันทบุรี โดยมีเป้าหมายขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ได้ 10,000 ไร่ในปีแรก และจะเพิ่มเป็น 10 เท่าในปีถัดไปทุกปี โดยมีทีมงานที่บ่มเพาะมาพร้อมทำงาน และสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และอีกหลายสถาบัน มาร่วมขับเคลื่อนงานในส่วนนี้ด้วย

แววศิริ ฤทธิโยธี แห่งบ้านสวนอิสรีย์เกษตรอินทรีย์และฟาร์มม้าไทยเมืองจันท์ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี กล่าวว่า “บ้านสวนอิสรีย์ฯ มีสวนยางประมาณ 120 ไร่ และสวนผลไม้ 80 ไร่ ปลูกเงาะ มังคุด ทุเรียน ลองกอง พริกไทย และอื่นๆ ผสมผสานกัน ที่บ้านเราอยู่กับสวนมาตลอด ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ตอนแรกทำสวนมะละกอซึ่งใช้สารเคมีมาก แต่ห่วงเรื่องสุขภาพจึงปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ ตอนนี้ไม่ใช้เคมีเลยมา 3 ปีกว่าแล้ว เราขุดบ่อ 7 บ่อรวมทั้งบ่อบาดาล ให้มีน้ำใช้ตลอด เมื่อปี 2560 ก็ได้ไปอบรมเรื่องเกษตรอินทรีย์เพิ่มเติมที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติโป่งแรด จึงหมักปุ๋ยเองจากความรู้ที่ไปอบรมมา”


กำลังโหลดความคิดเห็น