xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศไทยต้องเปลี่ยนผ่าน รับมือกับโลกในศตวรรษที่ 21/ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เพราะโลกที่เราอยู่นั้นเสมือนไม่ใช่โลกใบเดิมที่เราเคยอาศัยอยู่ มีการเกิดขึ้นของโอกาส ภัยคุกคาม และขีดความสามารถแบบใหม่ เพื่อจะตอบสนองต่อการเข้าสู่ new normal
คำถามที่เกิดขึ้น คือ เราจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกใบใหม่ซึ่งเป็นโลกที่ VUCA คือ มีความผันแปร (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความไม่ชัดเจน (Ambiguity) ได้อย่างไร ในเมื่อความยั่งยืน (Sustainability) คือคำตอบ
การสร้างความยั่งยืนได้ เราจำเป็นต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีลักษณะพิเศษ 3 ประการ คือ
เป็นยุคที่มีความสุดโต่ง (The Age of Extremity) ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาและการแข่งขันอย่างรุนแรง เช่น ความเหลื่อมล้ำ การก่อการร้าย การแก่งแย่ง talent ระหว่างประเทศ
เป็นยุคที่มีความย้อนแย้ง (The Age of Paradox) ทำให้กฎเกณฑ์เดิมในอดีตไม่สามารถใช้ได้ในปัจจุบัน เช่น เราจะจัดการกับข้อมูลอย่างไร เมื่อเราต้องการป้องปกดูแลความเป็นส่วนตัวในขณะที่ต้องมีความโปร่งใสในเวลาเดียวกัน
เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน (The Age of Disruption) ซึ่งเกิดจาการรวมและแตกตัวของเทคโนโลยี ทำให้วงจรชีวิตของสินค้าและเทคโนโลยีสั้นลง ส่งผลไปสู่การวิวัฒนาการของมนุษย์และเทคโนโลยีเป็นวงจรกันไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่เราจะต้องมี คือ การรู้เท่าทันเทคโนโลยี
ลักษณะทั้ง 3 ประการ จะนำไปสู่ Global Challenges และเพื่อรับมือ เราต้องมี Future Setting ด้วยการคิดค้นว่าอนาคตที่ควรจะเป็นคืออะไร โดยภาครัฐสามารถกำหนด Regulatory & Policy Sandboxes ผ่าน Future Lab Policy Lab Gov Lab Living Lab และ Social Lab
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็จำเป็นจะต้องมีการดำเนินการแบบ 4E คือ การทดลองทดสอบ (Experiment) การค้นหา (Explore) การรับประสบการณ์ (Experience) และการแลกเปลี่ยน (Exchange) เพื่อ เพื่อนำไปสู่ Strategic Transformation
เพื่อที่จะขับเคลื่อน Future Setting ให้เกิดขึ้น เราจะต้องสร้าง Game Changers ผ่านการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการพัฒนา (New Development Paradigm) จากในอดีตที่เชื่อว่าความโลภก่อให้เกิดความเติบโตซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลใน 3 ด้าน คือ ความเหลื่อมล้ำซึ่งเกิดจากความสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความไม่ยั่งยืนซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และความไม่มั่งคั่งซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี
นำมาสู่การพัฒนาโมเดล Thailand 4.0 ที่มีหัวใจสำคัญคือ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างการเติบโตอย่างสมดุล (Thriving in Balance) โดยให้ความสำคัญกับ Human Wisdom ที่จะสร้าง Economic Wealth Social Well-being Environmental Wellness ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 รูปแบบ คือ Innovative Economy Circular Economy และ Distributive Economy
นอกเหนือจากการสร้างเศรษฐกิจแล้ว เรายังต้องเปลี่ยนแปลงสังคมจาก Me-Society (สังคมที่มองแต่ตนเอง) เป็น We-Society (สังคมที่นึกถึงผู้อื่น) โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญ ตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนจาก Human Brain และPower of Knowledge ไปสู่ Shared Brain และ Power of Shared Knowledge เพื่อนำไปสู่ Producing Meanings ซึ่งมากกว่าแค่ Producing Matters
ยิ่งไปกว่านั้น เรายังต้องสร้าง New Operating Platform เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนจาก Physical Civilization ไปสู่ Dual Civilization ที่มีทั้งโลกจริงกับโลกเสมือน โดยเฉพาะการเปลี่ยนจาก Physical System สู่ Cyber-Physical System ซึ่งปัจจุบัน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นได้พัฒนาให้ก้าวทันโลกนี้ เช่น ระบบ NETPIE ซึ่งเป็น platform เพื่อเชื่อมโยง IoT ต่างๆ เข้าด้วยกัน การใช้ Big Data เพื่อขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำด้วยระบบ TPMAP และการแก้ไขปัญหาความยากจนจากพื้นฐานด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลด้านน้ำ ดังนั้น เราจะต้องขับเคลื่อนด้วย Dual Operating Model ที่จะสร้างสมดุลระหว่าง Minds กับ Machines ระหว่าง Products กับ Platforms และระหว่าง Core กับ Crowd ให้เกิดขึ้น
และเพื่อจะขับเคลื่อน Game Changers เราจะต้องสร้าง Innovative Capacity ทั้งในคนด้วยการพัฒนาทักษะใหม่ๆ เช่น Computational Thinking หรือ Trans-Disciplinary ด้วย Deep Learning คือการพัฒนาทั้งการคิด การลงมือทำ และจิตใจไปพร้อมกัน ซึ่งจะช่วยให้เกิด Deep Innovation ต่อไป
นอกจากนั้น ยังต้องพัฒนาขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ โดยในอนาคต Technology Frontiers ของไทยจะหนีไม่พ้น 3 พื้นที่ คือ Bio-Digital System Cyber-Physical System และ Earth-Space System ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ต้องอาศัยนโยบายทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ชัดเจน รวมถึงต้องสร้าง Ease of Doing Innovation Business เช่น การสร้างมาตรฐาน การออกกฎหมาย Sandbox กฎหมาย Startup การจัดซื้อจัดจ้างเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ การให้สิทธิงานวิจัยแก่นักวิจัย เป็นต้น
ดร.สุวิทย์  เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คำถามที่สำคัญในวันนี้ คือ เราพร้อมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยไปสู่ Thailand 4.0 แล้วหรือยัง หากพร้อม เรามีภารกิจที่สำคัญ 3 เรื่อง คือ Future Setting หรือการกำหนดอนาคต แล้วจะต้องผลักดันด้วย Game Changer เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องอาศัยการสร้าง Innovative Capacity เพื่อรองรับการขับเคลื่อน โดยอาศัย Collaborative Platform เพื่อให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม และรัฐทำหน้าที่พัฒนา Ecosystem เพื่อให้เกิด Ease of Doing Innovation Business
ซึ่งจะนำไปสู่ Transformative Change ให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ศตวรรษที่ 21 ในที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น